ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ

IconNameRarityFamily
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ I
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ I3
RarstrRarstrRarstr
Book, ประวัติศาสตร์ลับตอนเหนือ
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ II
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ II3
RarstrRarstrRarstr
Book, ประวัติศาสตร์ลับตอนเหนือ
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ III
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ III3
RarstrRarstrRarstr
Book, ประวัติศาสตร์ลับตอนเหนือ
items per Page
PrevNext
Table of Content
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ I
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ II
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ III

ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ I

ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ I
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ INameประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ I
Type (Ingame)ไอเทมเควสต์
FamilyBook, ประวัติศาสตร์ลับตอนเหนือ
RarityRaritystrRaritystrRaritystr
Descriptionคัมภีร์ของ Remuria โบราณที่ถูกค้นพบในโบราณสถานโดยบังเอิญ แต่ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาได้
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นักกวี นักเขียนบทละคร และนักประวัติศาสตร์ที่น่าเคารพเหล่านั้นมักจะชอบเขียนเรื่องไร้สาระ และเรียกพวกมันว่าประสบการณ์จริง ทั้งที่เป็นเรื่องโกหกพกลมที่มองออกได้ตั้งแต่เห็นแวบแรก แต่พวกเขากลับดึงดันที่จะคุยโวคำโตต่อไปแล้วก็บอกว่า "เห็นมากับตา เป็นเรื่องจริงทุกคำ" ด้วยท่าทีจริงจังราวกับไม่กลัวว่าจะถูกคนรุ่นหลังหัวเราะเยาะเอา ตัวอย่างเช่น Xanthus บุตรชายแห่ง Talassii ก็เคยเขียนเรื่องราวของเผ่าอนารยชนที่เคยพบเจอตอนอยู่ที่ทางเหนือไว้ว่า พวกเขาใช้กระจกและทองคำขาวสร้างเป็นนครรัฐขึ้นระหว่างภูเขา และเรียกพระราชาของพวกเขาว่า "อัศวิน" และยังบอกอีกว่าพวกเขามี 72 กองทัพ โดยแต่ละกองทัพมี 66,600 คน ทั้งหมดล้วนถืออาวุธที่หลอมจากแหล่งน้ำที่บริสุทธิ์ที่สุด มีความแวววาวยิ่งกว่าคริสตัลของ Machimos แต่จริง ๆ แล้ว ชีวิตนี้เขาไม่เคยออกจาก Capitolium อย่าว่าแต่พวกอนารยชนเลย แม้แต่ปลาไหลเขาก็คงไม่เคยเห็น แต่พอได้อ่านเรื่องราวของเขาแล้วนับว่าน่าสนใจมาก เพราะแบบนี้ จึงทำให้ความหยิ่งยโสของฉันถูกกระตุ้นขึ้นมา คิดว่าตัวเองก็ควรจะเขียนอะไรทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังบ้าง แต่ว่าฉันไม่มีประสบการณ์ที่ควรค่าแก่การพูดถึง และไม่เหมือนคนที่น่าเคารพเหล่านั้น ที่กล้าแต่งเรื่องราวเหลวไหลและเรียกมันว่า "บันทึกจากประสบการณ์จริง" ฉันจึงต้องยอมรับแต่โดยดีว่า สิ่งที่ฉันเขียนเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด ฉันคิดว่าในเมื่อตัวเองยอมรับแล้ว ก็คงไม่ถูกด่าว่าเป็นคนหลอกลวงหรอกมั้ง สรุปว่า เรื่องราวที่ฉันกำลังจะเขียนต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวที่ไม่เคยได้ยินและไม่เคยเจอมาก่อน มันเป็นเรื่องราวที่ฉันแต่งขึ้นเองทั้งหมด ซึ่งมีระดับความจริงไม่ได้มากไปกว่า "อัศวินแห่งน้ำบริสุทธิ์" พวกคุณไม่จำเป็นต้องเชื่อ

และแล้วพวกเราก็ปล่อยใบเรือเพื่อออกเดินทาง มุ่งตรงไปทางเหนือ ทะลุผ่านดินแดนของพวกอนารยชน โดยแล่นไปตามลม เป้าหมายของพวกเราง่ายมาก... ก็คืออยากดูว่าสุดปลายทางของมหาสมุทรเป็นยังไง จากคำบอกเล่าของ Quinctilius ทุกทิศทางของทะเลหลวงล้วนมีน้ำตกที่ไม่สามารถข้ามผ่านได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นคำบอกเล่าที่ผิด: Iuvenalis ที่เคารพก็เคยพูดถึง "อาณาจักรทางเหนือที่ไกลโพ้น" ไม่ใช่เหรอ แต่ว่ายิ่งเราแล่นเรือไปทางเหนือมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นพื้นดินน้อยลงเท่านั้น เริ่มแรกยังมีหมู่เกาะเป็นแถบ ๆ แต่ต่อมาเหลือแต่เกาะเล็ก ๆ เพียงหร็อมแหร็ม พอเดินทางต่อไปอีกหลายวัน แม้แต่เกาะเล็ก ๆ ก็ไม่เห็นแล้ว มีก็แต่มหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต โชคดีที่พวกเราเอาน้ำจืดและอาหารมามากพอ จึงไม่ถึงขั้นต้องหิวตาย

พวกเราเดินทางต่อเนื่องเป็นเวลา 79 วัน แต่ไม่ได้เห็นพื้นดินเลย เดิมทีตั้งใจว่าจะเดินทางกลับแล้ว แต่ไม่คิดว่าในวันที่ 80 พวกเราจะถูกโจมตีกลางทะเลที่กว้างใหญ่ กลุ่มโจรที่ขี่อยู่บนหลังนกยักษ์กลุ่มหนึ่งเข้ามาขวางทางพวกเรา และปล้นมันฝรั่งของพวกเราไป ถ้าจะถามว่านกเหล่านี้มีขนาดใหญ่แค่ไหนนั้น ขนนกที่อยู่บนตัวพวกมันหนึ่งเส้นมีขนาดพอ ๆ กับเสาค้ำทะเลเลยล่ะ พวกเราหมดหนทางจะตอบโต้ จึงได้แต่คุกเข่าและอธิษฐานถึง Sebastos หวังว่า Sebastos จะคุ้มครองให้พวกเรารอดชีวิต ขอสาบานว่าจะไม่เดินทางสุ่มสี่สุ่มห้า เพื่อเขียนบันทึกการเดินทางบ้าบออะไรอีกแล้ว ทันใดนั้นเอง ก็เห็นนักรบที่นั่งอยู่บนหลัง Blubberbeast กลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากในทะเล Blubberbeast แต่ละตัวล้วนมีขนาดใหญ่เท่ากับ Sumpter Beast ห้าสิบตัว และสวมเกราะที่ทำจากคริสตัล เกล็ดมังกรและกะหล่ำปลี พวกมันกัดนกยักษ์พวกนั้นจนถึงกับร้องหาบุพการี ไม่ทันไรก็หนีไปอย่างไร้ร่องรอย

ขณะนั้นเองที่พวกเราเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า รูปลักษณ์ของอัศวินเหล่านั้นแตกต่างจากมนุษย์อย่างพวกเราโดยสิ้นเชิง พวกเขาเหมือน Vishap ที่เดินตัวตรงมากกว่า อัศวินคนที่เป็นหัวหน้าใช้สายตาที่ส่องแสงประหลาดประเมินพวกเราสักครู่ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานว่า: "ผู้มาเยือน พวกคุณเป็นพ่อค้าที่มาจาก Serenum ใช่มั้ย?"

พวกเราไม่รู้ว่า Serenum คืออะไร จึงบอกเขาไปตามตรงว่าพวกเราเป็นนักเดินทะเลที่มาจาก Remuria เพื่อมาดูว่าสุดปลายทางของมหาสมุทรเป็นยังไง

ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ II

ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ II
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ IINameประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ II
Type (Ingame)ไอเทมเควสต์
FamilyBook, ประวัติศาสตร์ลับตอนเหนือ
RarityRaritystrRaritystrRaritystr
Descriptionคัมภีร์ของ Remuria โบราณที่ถูกค้นพบในโบราณสถานโดยบังเอิญ แต่ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาได้
พอได้ยินสิ่งที่พวกเราพูด เขาก็หัวเราะดังลั่น แม้แต่ครีบบนหลังของเขาก็สั่นตามไปด้วย เขาหัวเราะพลางพูดว่า บนโลกใบนี้มี "Remuria" ที่ไหนกัน มันก็แค่ประวัติศาสตร์จอมปลอมที่พวกอนารยชนทางใต้แต่งขึ้นมา พวกเขาไม่มีประวัติศาสตร์ทางอารยธรรมเป็นของตัวเอง ถึงได้ปั้นเรื่องจักรวรรดิที่ไม่มีจริงนี้ขึ้นมา พอบอกว่าพวกเราเป็นชาว Remuria เขาก็ยิ่งหัวเราะลั่น และถามพวกเราว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ หรือหลักฐานทางโบราณคดีที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า Remuria นั้นมีอยู่จริง พวกเราตอบไม่ได้ เขาจึงบอกให้พวกเราทำใจให้สบาย และบอกว่าการพูดเรื่องจินตนาการที่ประหลาดแบบนี้ไม่ถือว่าผิดกฎหมายของพวกเขา ขอแค่พวกเราไม่กิน Sunsettia ในที่สาธารณะ พวกเราก็ยังคงเป็นแขกที่มีเกียรติสูงสุดของจักรวรรดิ Solaris เขายังบอกอีกว่า ดูจากการแต่งกายของพวกเราแล้ว ไม่น่าจะใช่สายลับของทหารกบฏ แต่น่าจะเป็นพ่อค้าที่มาจาก Hyperborea ตอนนี้จักรวรรดิกำลังเกิดสงครามภายใน เขาหวังว่าพวกเราจะช่วยพวกเขาเอาชนะทหารกบฏพวกนั้น

ที่แท้เทคโนโลยีของจักรวรรดิที่ชื่อว่า Solaris ของพวกเขาก็ก้าวหน้ามาก เมื่อหลายสิบปีก่อน มีนักปรัชญาที่ชื่อว่า Lucilius ได้ค้นพบวิธีที่จะทำให้คนส่วนหนึ่งได้รับพลังพิเศษที่เหนือมนุษย์ได้ แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาจะแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป มีคนกลุ่มหนึ่งคิดว่า วิธีนี้จะทำลายความบริสุทธิ์ของมนุษย์ เพราะคนที่มีพลังพิเศษเหล่านี้ ถ้าไม่เป็นทาส ก็ต้องถูกกำจัดจนสิ้นซาก ด้วยเหตุนี้ทั้งสองฝ่ายจึงสู้รบกัน ถึงขั้นที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เลือดไหลนองไปทั่ว

ฉันจึงปลอบใจเขาว่า เท่าที่ฉันดู บนโลกนี้มีเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่โบราณแล้ว ฉันคิดละครได้อย่างน้อยยี่สิบเรื่อง ที่ล้วนมีธีมเดียวกันเลย... และเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าศิลปะของ Remuria มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ขณะที่ Terentius ของ Pisculentum สรรเสริญว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตมีความเท่าเทียม และทรงพลัง ก็ได้เขียนว่ามีคนเพียงส่วนหนึ่งที่มีพลังพิเศษโดยกำเนิด และบอกให้คนพวกนี้ไปปราบปราม และสังหารผู้อื่น ฉันแนะนำว่าพวกเขาเลิกค้นคว้าเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงร่างมนุษย์ แล้วหันมาค้นคว้าเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง Blubberbeast แทนเถอะ เพราะว่า Blubberbeast น่ารักกว่ามนุษย์มาก เขาบอกว่าจะทบทวนคำแนะนำที่ปราดเปรื่องของฉัน แต่เรื่องสำคัญที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือ ต้องกำจัดทหารกบฏที่น่ารังเกียจพวกนั้นก่อน ถ้าพวกเรายอมช่วย เขาจะมอบพาหนะของราชวงศ์ Blubberbeast ที่แกร่งที่สุดให้พวกเรา และให้พวกเราสั่งการกองทัพที่อยู่ใต้บัญชาของเขาจำนวนสิบสามกองทัพ ซึ่งแต่ละกองทัพมีทหารหนึ่งล้านคน รวมทั้งหมด สิบสามล้านคน บุกโจมตีด้านข้างของทหารกบฏ เพราะว่าเขาได้ช่วยชีวิตพวกเรามาจากมือของทหารกบฏเหล่านั้น พวกเราจึงตอบรับคำขอของเขา

ทุกท่าน เรื่องราวที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นสิ่งที่ฉันพบเห็นมาด้วยตาของตัวเอง เป็นความจริงทุกถ้อยคำ ส่วนการต่อสู้ที่เกิดขึ้นต่อมานั้น ก็ยิ่งน่าเหลือเชื่อเข้าไปอีก ฉันจำได้ว่ามีทาสตาบอดที่ติดตามพวกเรามาร้องแบบนี้:

"จงร้องเพลงสรรเสริญเถอะ นักดนตรี จงร้องเพลงสรรเสริญความเดือดดาลที่อันตรายของ Blubberbeast!"

ด้วยแบบนี้ กองทัพที่ประกอบด้วย Blubberbeast จึงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ราวกับเปลวไฟกำลังกลืนกินสรรพสิ่ง พื้นดินสั่นสะเทือนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกมัน พวกเราจัดแถวพร้อมอยู่บนทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ ทหารที่เป็นผู้นำได้อธิษฐานต่อเทพเจ้าของพวกเขาก่อน จากนั้นก็ดึงคันธนู เพื่อยิงสุนัขหนึ่งตัวใส่ทหารกบฏ เสียงกังวานของธนูสีเงินทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ทหารกบฏก็ไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตนนั้นด้อยกว่า จึงส่งยักษ์ที่มีอาวุธครบมือห้าล้านตนออกมา รูปร่างของยักษ์เหล่านี้ใหญ่โตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ใหญ่ว่าโกเลมที่ Sebastos สร้างถึงหลายสิบเท่า ได้ยินว่าเป็นกำลังเสริมที่ทหารกบฏเชิญมาจากใต้ทะเล ถึงแม้ว่ายักษ์เหล่านี้จะมีเพียงตาเดียว... เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ปกติมาก เพราะยักษ์ที่อยู่ใต้บัญชา Pacuvius ก็ล้วนมีสภาพแบบนี้... แต่การมองเห็นของพวกมันไม่ธรรมดาเลย ภายใต้คำสั่งของผู้นำทหารกบฏ พวกมันได้ขว้าง Bulle Fruit ใส่ค่ายของพวกเราได้อย่างแม่นยำจนน่าสะพรึง พอ Bulle Fruit สัมผัสพื้นก็ระเบิด และพ่นฟองสบู่ออกมานับไม่ถ้วน ถ้าเกิดสัมผัสเข้ากับฟองสบู่ ก็จะลอยขึ้นไปบนฟ้า ลอยขึ้นไปหาพระอาทิตย์ทันที และนี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมพระอาทิตย์จึงมีสีคล้าย Bulle Fruit

ส่วนจุดจบของการต่อสู้นั้น เป็นจุดจบที่เหล่านักเขียนบทละครที่น่าเคารพเหล่านั้นแทบจะยังไม่เคยเขียน... พวกเขามักจะเว้นที่ว่างที่มากพอไว้ให้กับเรื่องราวในภายหลัง งั้นฉันก็จะทำตามธรรมเนียมของพวกเขา โดยข้ามส่วนนี้ไปเลยก็แล้วกัน

ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ III

ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ III
ประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ IIINameประวัติศาสตร์ลับแห่งแดนเหนือ III
Type (Ingame)ไอเทมเควสต์
FamilyBook, ประวัติศาสตร์ลับตอนเหนือ
RarityRaritystrRaritystrRaritystr
Descriptionคัมภีร์ของ Remuria โบราณที่ถูกค้นพบในโบราณสถานโดยบังเอิญ แต่ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาได้
หลังจากนั้น พวกเราก็เดินทางต่ออีก 300 วัน โดยเดินหน้ามุ่งสู่มหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต ต่อมาเราได้พบกับกำแพงที่สูงตระหง่านอยู่กลางมหาสมุทร ความสูงของมันทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้าจนสุดสายตา บนกำแพงมีร่างเงาคนมากมายนับไม่ถ้วนถูกแขวนเอาไว้ เป็นเงาที่ไม่มีร่าง ไม่มีกล้ามเนื้อ แต่สามารถแสดงรูปร่างของตัวเองได้ ใครก็ตามที่ชอบพูดโกหก แม้แต่ในหนังสือก็ไม่ยอมเขียนความจริง เมื่อตายแล้วก็จะถูกแขวนอยู่บนกำแพงนี้เพื่อรับโทษทัณฑ์ ส่วนใครเป็นคนสร้างกำแพงนี้ และเบื้องหลังของกำแพงคืออะไรนั้น ฉันเองก็ไม่รู้ เพราะทุกอย่างที่ฉันเขียนลงในบันทึกการเดินทางเล่มนี้ล้วนเป็นความจริง อีกทั้งยังไม่สามารถเข้าใกล้กำแพงนี้ได้เลย จากนั้นเราก็รีบถอยเรือ เพื่อหนีออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด และหวังว่าจะไม่ต้องเข้าใกล้มันอีก

ตอนเย็น พวกเรามาถึงเขตทะเลแห่งหนึ่งที่คลื่นลมสงบ ที่อยู่ใกล้เกาะเล็กเกาะหนึ่ง น้ำจืดของพวกเราใกล้จะหมดแล้ว พวกเราจึงขึ้นไปบนเกาะนั้นเพื่อเก็บน้ำจืด ทันใดนั้น พวกเราทุกคนก็ได้กลิ่นหอมประหลาดโชยมา แม้แต่น้ำมันหอมระเหยที่หอมที่สุดใน Capitolium ก็หอมสู้มันไม่ได้ ที่แท้บนเกาะนี้มีคนอาศัยอยู่ พวกเขายังสร้างนครรัฐที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่งด้วย... ทุกอย่างในเมืองนี้ล้วนทำจากทองคำ มีกำแพงสิบสองชั้นล้อมรอบ กำแพงแต่ละชั้นล้วนทำจากอัญมณีหนึ่งชนิด: ชั้นที่ 1 เป็นอเมทิสต์ ชั้นที่ 2 เป็นหินโมราสีม่วง ชั้นที่ 3 เป็นหยกเจไดต์ ชั้นที่ 4 เป็นหยกสีแดง ชั้นที่ 5 เป็นหยกสีเขียว ชั้นที่ 6 เป็นหยกสีเหลือง ชั้นที่ 7 เป็นทับทิม ชั้นที่ 8 เป็นหินโมราสีแดง ชั้นที่ 9 เป็นมรกต ชั้นที่ 10 เป็นหินโมราสีเขียว ชั้นที่ 11 เป็นไพลิน และชั้นที่ 12 เป็นหินแจสเปอร์ นอกกำแพงเป็นคูเมือง มีความกว้างหลายร้อยเมตร ลึกหลายพันเมตร สิ่งที่ไหลอยู่ในคูเมืองไม่ใช่น้ำ แต่เป็นนมวัวสด สิ่งที่แหวกว่ายอยู่ภายในล้วนเป็นปลาเค็มที่หมักเสร็จแล้ว แค่ตักขึ้นมาก็กินได้เลย

เหมือนว่าชาวบ้านของที่นี่จะเป็นผู้หญิงทั้งหมด การแต่งกายของพวกนางต่างก็สวยงาม มีใบหน้าที่ทั้งงดงามและอ่อนวัย พวกนางทยอยกันเข้ามาข้างหน้าพวกเรา และโอบกอดพวกเราเพื่อแสดงถึงการต้อนรับ เกาะนี้ชื่อว่า Amoria ได้ยินว่ามีความหมายว่ารัก พวกนางทักทายพวกเราอย่างเป็นมิตร และเชิญพวกเราไปเป็นแขกที่บ้านอย่างอบอุ่น และยังบอกว่าจะมอบสมบัติมากมายให้พวกเรา มากพอที่พวกเราจะซื้อ Machimos ทั้งหมดได้ ฉันเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล... นอกจากในหนังสือของ Ennius แล้ว จะมีคนที่เอาอกเอาใจคนแปลกหน้าแบบนี้ได้ยังไง? แต่บรรดาเพื่อนร่วมทางของฉันต่างก็อ่านละครคลาสสิกพวกนั้นจนชินแล้ว และไม่รู้สึกแปลกอะไรกับสิ่งเหล่านี้ จึงตามพวกนางไปที่บ้าน ฉันจึงต้องแสร้งทำเป็นยินดี แต่ก็เอาของขวัญที่ชาว Solaris ให้มาด้วย: Bulle Fruit หนึ่งลูก และเดินตามหนึ่งในคนพวกนั้นมาที่บ้าน ฉันสังเกตอย่างละเอียด เป็นไปตามคาดคือ มีกระดูกของมนุษย์อยู่เต็มไปหมด ฉันรีบหยิบ Bulle Fruit ออกมาเล็งไปที่ผู้หญิงคนนั้น และบอกให้ผู้หญิงคนนั้นสารภาพความจริง ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะสักพัก จากนั้นก็กลายเป็นน้ำ และหายไปในชั่วพริบตา

ฉันรีบเรียกรวมตัวพวกเพื่อน ๆ ให้หนีกลับไปขึ้นไปบนเรือ ถึงขั้นที่แม้แต่น้ำจืดก็ยังไม่ทันได้ตักด้วยซ้ำ ทันใดนั้นพอพวกเราเพ่งมองไป พบว่าเกาะนั้นกลับหายไปแล้ว เบื้องหลังมีแค่เพียงมหาสมุทรเท่านั้น

ถ้าอยากรู้ว่าเรื่องราวหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามในตอนต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

TopButton