เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin

IconNameRarityFamily
เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (I)
เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (I)4
RarstrRarstrRarstrRarstr
Book, เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin
เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (II)
เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (II)4
RarstrRarstrRarstrRarstr
Book, เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin
items per Page
PrevNext

เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (I)

เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (I)
เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (I)Nameเรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (I)
Type (Ingame)ไอเทมเควสต์
FamilyBook, เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin
RarityRaritystrRaritystrRaritystrRaritystr
Descriptionเรื่องราวที่ญินเล่าให้เด็กเลี้ยงแกะฟังท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน ทั้งไม่รู้ที่มา และหาสาระไม่ได้
"เรื่องที่จะเล่าต่อจากนี้ เกิดขึ้นในยุคสมัยของ Shiruyeh 'ราชาแห่งโรคระบาด' เพียงแต่ในตอนนั้น เจ้าประเทศองค์นี้ยังไม่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เนื่องจากเหตุการณ์ 'โรคระบาดแห่ง Shiruyeh' และราษฎรของเขาก็ยังไม่ได้กระจัดกระจายเร้นกายเข้าไปในโลกแห่งความมืด กลายเป็นสิ่งมีชีวิตป่าเถื่อนที่สูญเสียภาษาและใบหน้า..."
ภูตเมืองแห่งธิดาจันทรา หยุดไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเหยียดตัวบิดขี้เกียจครั้งใหญ่ เหรียญเงินสีจันทร์ที่ข้อมือกับข้อเท้าส่งเสียงดังรัว ดูเหมือนว่าจะกำลังไม่พอใจการกระแทกของ Sumpter Beast
"จะว่าไปแล้ว เจ้านกเรเวนน้อย เจ้ารู้ความหมายของนาม 'Shiruyeh' หรือไม่?"

"เอิ่ม... ผู้ที่น่าขัน ต่ำช้าที่สุด?"
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่า "นกเรเวน" ตอบไปส่ง ๆ เนื่องจากความร้อนของแสงแดดและการคุกคามของทรายดูด ทำให้เขาไม่มีแก่ใจที่จะฟังเรื่องราวของเพื่อนร่วมทาง
"ในชนเผ่าของเรา 'Shiruyeh' เป็นนามแห่งความอัปยศ มีเพียงผู้นำที่ถูกเนรเทศเท่านั้นถึงจะถูกประทับนามแบบนี้ไว้บนหน้าผาก เวลาสาปแช่งหรือด่าทอใครก็จะเอ่ยถึงชื่อนี้ นี่เป็นธรรมเนียมของเรา... คิดว่าเผ่าอื่น ๆ ก็คงไม่ต่างกันมากเท่าไรนัก"

"ฮ่าฮ่า! ความรู้ของมนุษย์เหมือนกับทรายดูด ผลัดเปลี่ยนไปตามสายลมแห่งกาลเวลา ประหลาดเสียจริง!"
คำตอบแบบไม่ใส่ใจของ "นกเรเวน" กลับชวนให้ภูตอยากเย้ยหยันอย่างนึกสนุก
"อันที่จริง... ในภาษาที่สูญหายไปแล้ว 'Shiruyeh' หมายถึง 'ลูกสิงโตที่ยังไม่หย่านม' พ่อของเขา 'Parvezravan' ตั้งชื่อนี้ให้แก่ลูกรักในวัยหนึ่งเดือน แต่ไม่รู้เลยว่า เจ้าประเทศที่เรียกตัวเองว่า 'วิญญาณแห่งชัยชนะนิรันดร์' ผู้นี้ จะถูก 'สิงโตน้อย' ที่เขารักยิ่งฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ราวกับสุนัขล่า..."

ภูตนิ่งชะงักไปครู่นึง คล้ายว่ากลัวผู้รับฟังจะเบื่อหน่าย พอได้สบตากับเด็กหนุ่มแล้ว ก็พูดต่อไปว่า:
"ส่วน 'Parvezravan' ผู้นี้ เล่ากันว่า ในยุคที่มนุษย์ต่างยึดครองอาณาเขตปกครองในฐานะเจ้าประเทศ 'Parvezravan' เคยเป็นหนึ่งในราชาผู้ทรงอานุภาพ..."

"Parvezravan" ไม่ใช่ชื่อเดิมของราชาองค์นี้ เหล่าภูตเล่ากันว่า เขาเคยเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกนกยักษ์ Ghoghnus เลี้ยงดูอยู่ในรังจนเติบใหญ่ และให้ชื่อว่า "Kisra" ซึ่งหมายถึง "ผู้ได้รับนามอันไพเราะ" ต่อมา เนื่องจากความทะเยอทะยานที่คิดจะเรืองอำนาจ อีกทั้งได้รับความช่วยเหลือจากนกศักดิ์สิทธิ์ เจ้าประเทศราช Ormazd Shah จึงรับเขาไว้เป็นลูกบุญธรรม และได้กลายเป็นนักปราชญ์และวีรบุรุษในมวลมนุษย์ปุถุชน

ในบทเพลงของชนเผ่าทะเลทรายที่ล่มสลายไปแล้วเล่าว่า Kisra ได้ยึดครองดินแดนบนโลกทั่วทั้งสี่ทิศ เพื่อเจ้าประเทศราช Ormazd Shah บีบบังคับให้เมืองเก้าสิบเก้าแห่งต้องทอดทิ้งกำแพงเมืองหอคอยสูงที่สร้างจากดินปูนและทองสัมฤทธิ์ เอาชนะหัวหน้าชนเผ่าล่าสัตว์เก้าสิบเก้าคน และใช้โซ่ทองล่ามนักปราชญ์ผู้รอบรู้ด้านหลักแห่งดวงดาวเอาไว้ จับกุมและนำตัวกลับมาคุมขังในปราสาทสูงตระหง่านของเมืองหลวง Gurabad

ขณะนั้นเอง ดินแดนสุขาวดี "Valivija" เพิ่งถูกทรายคลั่งเคลือบทองฝังกลบไป หนึ่งในสามเทพอสูรได้ดับไปแล้ว เวลานับร้อยปีแห่งความอลหม่านและโกลาหล มนุษย์ปุถุชนได้กระจัดกระจายไปปกป้องตนเองในดินแดนของประเทศ จนกระทั่ง Ahmar นายของข้า และราชาผู้ปรีชาแห่ง Greenwood ได้รวบรวมราษฎร สร้างแดนสวรรค์แห่งโอเอซิสขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ยุคสมัยการช่วงชิงดินแดนของเจ้าประเทศจึงสิ้นสุดลง

กลับมาที่เรื่องราวก่อนหน้านี้ เนื่องจากผลงานที่ Kisra สร้างไว้ มงกุฎของ Ormazd จึงหนักอึ้งขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายแล้วคอของเขาก็ไม่อาจรับน้ำหนักของมงกุฎราชานั้นได้อีก จึงจำต้องใช้โซ่ทองบริสุทธิ์ แขวนมันไว้กลางโถงใหญ่ไปตลอดกาล

อันเนื่องจากคุณงามความดีของเด็กหนุ่ม Kisra ได้รับรางวัลอันสูงส่งจากเจ้าประเทศ Ormazd Shah เขามอบนาม "Parvez" ให้แก่บุตรบุญธรรม และยก Shirin บุตรีให้แต่งงานกับเขาด้วย ในบทเพลงอันลอยละล่องของเหล่าภูตขับขานกันว่า เธอเป็นทายาทเลือดผสมระหว่างเจ้าประเทศผู้เป็นมนุษย์และบรรพชนสตรี Liloufar เนื่องด้วยมีปัญญาที่ล้ำเลิศ จึงมีอายุขัยอันไร้จุดสิ้นสุด และสามารถทำนายลางนิมิตในปัจจุบัน ได้เหมือนกับนักปราชญ์คนแรก

หาก Kisra Parvez หยุดลงเพียงเท่านี้ นามแห่งวีรบุรุษของเขาก็จะปราศจากมลทินใด ๆ แต่ในวันที่ถูกสาปแช่ง เจ้าประเทศ Ormazd และทายาทอีกสามร้อยคนของเขาเสียชีวิตภายในชั่วค่ำคืนที่เมือง Gurabad หลังจากเหตุการณ์ไร้ซึ่งเหตุผลนี้ Kisra ก็ได้สืบทอดบัลลังก์ต่อ และเพิ่มฉายา "Ravan" ให้กับตัวเอง ก้าวขึ้นเป็นเจ้าประเทศที่แกร่งที่สุดในมนุษย์ปุถุชนทั้งปวง

"..."

ภูตหยุดการเล่าเรื่องลง พลางทอดสายตามองไปที่ดวงตะวันสีชาดที่กำลังดำดิ่งลงหลังเนินทราย จากนั้นก็ผิวปากเสียงแหลม ส่งสัญญาณบอกเด็กหนุ่มให้หยุด Sumpter Beast เตรียมตัวตั้งแคมป์ใต้เสาหินผุพัง

"มีคนบอกไว้ว่า..."
ภูตกระโดดลงจาก Sumpter Beast ด้วยความคล่องแคล่ว หมุนเป็นวงกลมกลางพื้นทรายอยู่หลายครั้ง เหมือนนักเต้นรำ "Setaria" ที่สูญหายไปนานแล้ว ปล่อยให้แสงจันทราที่เพิ่งปรากฏขึ้น ได้เคลือบประกายสีเงินให้กับผิวโปร่งใสของตนเองอย่างทั่วถึงกัน กลิ่นอายของมดยอบโปรยปรายเคล้าคลอกับปอยผมนับพัน พร้อมเสียงระฆังสีทองแผ่ออกไปไกล
จากนั้น ภูตโน้มตัวเล็กน้อยแล้วหยุดปลายเท้าของตนเองไว้ พลางหัวเราะออกมาเบา ๆ

มีคนบอกว่า โศกนาฏกรรมของเมือง Gurabad เกิดจากน้ำมือของวีรบุรุษ Kisra
บางคนเล่าว่า ในคืนนั้นที่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น เจ้านกวายร้ายที่ปราศจากกรงเล็บบินหนีออกจากปราการแข็งแกร่ง ไม่กินไม่ดื่ม ร่ำไห้โหยหวนทั้งคืน เจ้าหนูที่มีใบหน้าเหมือนคนในปราสาทกัดแทะโซ่ทองที่แขวนมงกุฎไว้ จนมงกุฎหนักเทอะทะตกกระแทกใส่พื้นเต็มแรง ได้รับความเสียหายและผิดรูป
ผู้คนเล่ากันว่า เสียงที่มงกุฎตกพื้นดังสนั่นราวแผ่นดินไหว ถึงขนาดที่ทำให้ข้าทาส Fellahin ที่ทำงานหนักและตั้งรกรากอยู่นอกปราการ ต้องอกสั่นขวัญแขวนให้กับทรราชที่พวกเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
หลังจากนั้น ได้ยินว่ามีนักผจญภัยค้นพบห้องใต้ดินโบราณของเมือง Gurabad ที่ฝังอยู่ภายใต้ทรายเหลืองเคลือบทอง ภายในนั้นได้ซุกซ่อนศพขนาดใหญ่ที่แห้งเหี่ยวไปแล้วของ Ormazd และลูกหลานของเขาเอาไว้ โดยมีคำจารึกที่ไม่สามารถถอดรหัสเขียนไว้บนศพทั้งหมด...

"หวังว่าเรื่องนี้จะทำให้เจ้าตกใจได้บ้างนะ"
ภูตจับจ้องอย่างตั้งตารอ ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังดื่มน้ำจากกระติกน้ำหนังสัตว์
ชนเผ่าในทะเลทราย มักจะดื่มน้ำอย่างประหยัดและระมัดระวังตามสัญชาตญาณ แต่ภูตเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากธาตุอันบริสุทธิ์ ไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกกระหาย หรือความรู้สึกดื่มด่ำกับความสุขอันหรูหรา เหมือนดั่งเจ้าหญิงโบราณ Shirin ที่ขับขานกันในบทเพลงอันเศร้าโศก

"ส่วนเรื่อง Shirin บุตรีของบรรพชนสตรี Liloufar เรื่องราวของเราเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น..."
ภูตหัวเราะด้วยความเจ้าเล่ห์อีกครั้ง รูม่านตาสีทองอำพัน และรอยยิ้มของเธอนั้นดูเหมือนเจ้าหญิงในอาณาจักรโบราณ

เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (II)

เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (II)
เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (II)Nameเรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin (II)
Type (Ingame)ไอเทมเควสต์
FamilyBook, เรื่องราวของ Shiruyeh และ Shirin
RarityRaritystrRaritystrRaritystrRaritystr
Descriptionเรื่องราวที่ญินเล่าให้เด็กเลี้ยงแกะฟังท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน ทั้งไม่รู้ที่มา และหาสาระไม่ได้
ขณะนั้นเอง ดินแดนสุขาวดี "Valivija" เพิ่งถูกทรายคลั่งเคลือบทองฝังกลบไป หนึ่งในสามเทพอสูรได้ดับไปแล้ว เวลานับร้อยปีแห่งความอลหม่านและโกลาหล มนุษย์ปุถุชนได้กระจัดกระจายไปปกป้องตนเองในดินแดนของประเทศ จนกระทั่ง Ahmar นายของข้า และราชาผู้ปรีชาแห่ง Greenwood ได้รวบรวมราษฎร สร้างแดนสวรรค์แห่งโอเอซิสขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ยุคสมัยการช่วงชิงดินแดนของเจ้าประเทศจึงสิ้นสุดลง

"ใช่ เจ้าเคยเล่าไปรอบนึงแล้ว"
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มฉายให้เห็นถึงความรำคาญ เขามองไปยังจันทร์เต็มดวงบนท้องนภา อาศัยตำแหน่งของดาวบริวารเพื่อคำนวณเส้นทางของวันรุ่งขึ้น
แต่ภูตก็รู้ว่า เขาเองก็ตั้งใจฟังเรื่องราวที่เธอเล่าอยู่เหมือนกัน จมูกของเธอจึงทำเสียงเหมือนได้ใจออกมา แล้วทันใดนั้นเองก็ได้กลับกลายเป็นโมโหเพราะกริยาที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้:
"มนุษย์ปุถุชนใจร้อนรนกระวนกระวาย ฟังผ่านหูก็ลืมเสียแล้ว ข้าจะไปรู้ได้ไงเล่าว่าเจ้าได้ฟังอยู่หรือเปล่า!"

กลับมาที่ประเด็นหลัก ในบทเพลงอันโศกเศร้าของภูตเล่าว่า Shirin เป็นบุตรีของ Ormazd วีรบุรุษมนุษย์และ Liloufar ภูตซึ่งเป็น "บุตรสาวแห่งบัวสาย" เธอถือกำเนิดขึ้นระหว่างใบบัวกับหยาดน้ำค้างหอมฟุ้ง นกช้อนหอยสีขาวบริสุทธิ์ประทานคำอวยพรแก่เธอ, งูเห่ามอบไข่มุกสีเขียวแก่เธอ, แม้แต่จระเข้ยักษ์เองก็ยังหมอบกราบเธอ
ในฐานะบรรพชนสตรีแห่งภูต ก่อนที่จะมอบบุตรีให้แก่เจ้าประเทศผู้เป็นมนุษย์ Liloufar ได้ให้คำทำนายไปสามข้อ: ข้อแรก Shirin จะตกหลุมรักกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง บุตรของพวกเขาจะเก่งกว่าบิดา, ข้อที่สอง ญาติทั้งหลายของ Shirin จะมีจุดจบที่หวานชื่นรื่นรมย์, ข้อที่สาม Shirin จะได้ครอบครองอาณาจักรของบิดาแต่เพียงผู้เดียว
หลังจากนั้น Liloufar ได้ให้คำเตือนสามข้อแก่ลูกรักผู้เป็นมนุษย์ว่า: ข้อแรก ความสุขของบุตรี จะทำให้ผู้เป็นพ่อต้องหลั่งน้ำตา, ข้อที่สอง หลังจากที่บุตรีแต่งงานไป จะไม่สามารถร่วมโต๊ะกินเลี้ยงกันได้อีก, ข้อที่สาม ทายาทของบุตรีจะนำพาลางร้ายมาสู่ราชอาณาจักร

เจ้าประเทศเพิกเฉยต่อคำทำนายและคำเตือนเหล่านี้

"ต่อมา Shirin ถูกพ่อของเธอจับหมั้นหมายให้กับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ 'Parvezravan' คำทำนายข้อแรกจึงเป็นจริงขึ้นมา?"
เด็กหนุ่มขัดจังหวะการเล่าเรื่องของภูต

"ใช่แล้ว แต่ ก็ไม่ถูกทั้งหมดหรอก..."
ภูตชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกของเด็กหนุ่ม อีกฝ่ายรีบเบนหนีด้วยใบหน้าแดงก่ำ ราวกับกลัวว่าจะโดนคำสาปแห่งความตายอันลอยละล่องของภูตเข้า ซึ่งท่าทางไร้เดียงสาเช่นนี้ ก็ทำให้ภูตหัวเราะออกมาอีกครั้ง

เมื่อ Shirin ถึงวัยที่พอรู้ความแล้ว คำทำนายที่มารดาได้ฝากไว้ที่เธอ ได้กลายเป็นคำสาปที่วนเวียนอยู่รอบตัวเธอไม่จากไปไหน เธอเฝ้ารอคอยวันเวลาที่จะได้ครองรักกับวีรบุรุษทุกวี่วัน รอคอยวันที่จะได้สืบทอดอาณาจักรของบิดา เฝ้าหวังอนาคตอันหวานชื่นสมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่สมดั่งใจหมายสักที

บอกตามความเป็นจริงเลยว่า ชีวิตการแต่งงานระหว่าง Shirin กับวีรบุรุษ Kisra นั้นไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย... อย่างไรก็ตาม วีรบุรุษของมนุษย์ล้วนเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานคิดจะครองอำนาจ ส่วนทายาทของ Liloufar เต็มไปด้วยความภาคภูมิของความเป็นภูต ไม่สามารถทนรับกับดักทองของความรักที่ดูเหมือนจะลึกซึ้งของวีรบุรุษมนุษย์ และไม่อาจหาความสงบสุขระหว่างเตียงนอนกับห้องครัวได้ ในที่สุดแล้ว ชีวิตที่ขาดรักและน่าเบื่อเช่นนี้ ก็ได้ก่อให้เกิดความเกลียดแค้นที่มีสดใหม่... เป็นความเกลียดแค้นเฉกเช่นเดียวกับผู้ที่ถูกจองจำไว้ในขวดสีเงินมีอยู่

ต่อมา ในคืนงานเลี้ยงฉาวโฉ่คืนนั้น บ่าวไพร่ต่ำต้อยบางคน... นักเวทแห่ง Mazandaran Oasis หรือบ่าวไพร่ของ Fellahin ที่ไม่รู้หนังสือ... ได้หยดพิษแมงป่องเข้าไปในน้ำผึ้งมัสก์ แล้วถวายให้กับเจ้าประเทศ Ormazd และลูกหลานอีกสามร้อยคนของเขา แล้วเฝ้ามองพวกเขาจมดิ่งสู่ดินแดนฝันมรณะอันหวานชื่นที่ปราศจากความฝัน ดำดิ่งลงไปสู่โลหิตและไขมันของผู้ต่ำต้อย สายเลือดและหยาดน้ำตาหลั่งไหลไปตามทาง...
แล้วในค่ำคืนนี้เอง ผู้ที่พอได้เพลิดเพลินกับความฝันก็เหลือเพียง Shirin ที่ถูกพ่อของเธอกันออกจากงานเลี้ยงกับ Kisra ที่เป็นทั้งผู้ไม่เต็มใจสมรู้ร่วมคิดและสามีของเธอ
บรรดาผู้ลอบสังหารราชาผู้ต่ำต้อยถูกราชาองค์ใหม่ลงโทษด้วยการจุ่มเข้าไปในบ่อน้ำผึ้ง ปากที่กำลังเอ่ยคำสาปแช่งถูกอุดตันไปด้วยน้ำผึ้งที่เหนียวหนึบ
และคำโกหกดั่งเลือดสีดำก็พรั่งพรูไหลออกจากปากของราชาองค์ใหม่ นามแห่งวีรบุรุษค่อย ๆ ด่างพร้อยไป...
ดังนั้น คำทำนายที่สองจึงเป็นจริงขึ้นมา

ต่อมา Shiruyeh บุตรของ Kisra Parvezravan ผู้โตมาด้วยการประคบประหงมของมารดา กลับถูกบิดาขับไล่ออกเมือง Gurabad โดยสั่ง Shiruyeh ว่า นับจากนี้ไปห้ามเหยียบเข้ามาในเมืองหลวงอีก เพราะ "Parvezravan" หวาดกลัวคำเตือนของบรรพชนสตรีแห่งภูต Liloufar เป็นอย่างมาก จึงได้ตัดสินใจสั่งการเช่นนี้เพราะรักตัวกลัวตาย
ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางความหวาดกลัวอันไม่สิ้นสุดของเจ้าประเทศ Shirin ก็ค้นพบโอกาสดีในการแก้แค้นอีกครั้ง

ในคืนวันหนึ่ง เธอปลอมตัวเป็นเทพธิดาแห่งอารามเทพจันทรา ได้พบกับบุตรผู้พเนจรที่มาค้างแรมที่นี่ ภายใต้แสงเงินระยิบระยับ ท่ามกลางดอกลิลลี่ที่หยดหยาดน้ำค้าง เธอได้ประทานคำพยากรณ์จอมปลอมแก่หนุ่มพเนจรผู้ปิดหน้าไว้ดังนี้:
"การปกครองแบบเผด็จการของบิดา สำหรับผู้เร่ร่อนแล้วมิใช่ความโชคร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรอกหรือ? บุตรแห่งเทพจันทราเอ๋ย ไม่ว่าแสงจันทร์จะส่องไปที่ใด ล้วนเป็นดินแดนที่เจ้าปกครอง เมล็ดพันธุ์ที่เจ้าหว่านออกไป จะต้องเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและงอกงาม ในเมื่อแสงจันทร์ได้มอบธนูชั้นเลิศและดาบคมแก่เจ้าแล้ว เจ้าจะทนคนใจเสาะที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไปทำไม? เหตุใดถึงไม่รวบรวมความกล้า เผชิญหน้าต่อความเกลียดแค้น และเผชิญหน้ากับตนเองเสีย?"
เล่ากันว่าในขณะที่ Shiruyeh ลังเลและตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้น สายลมได้พัดผ่าน ทำให้ผ้าคลุมหน้าผืนบางที่ Shirin ใช้ปิดหน้าหลุดร่วงลงมาด้วย
เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ในใจของเด็กหนุ่มที่ถูกบีบให้ปิดหน้าไว้ ก็พังทลายลงทันทีเพราะความหวาดกลัวและความละอายใจ เขาวิ่งหนีไปจากอารามหลังนั้นที่ถูกแปดเปื้อนไปด้วยมลทิน เสียงหัวเราะแผ่วเบาราวกับกระดิ่งและแสงจันทร์อันเย็นชา ล้วนกลายเป็นประจักษ์พยานถึงความหวาดกลัวของเขา

เรื่องราวหลังจากนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรนัก: เจ้าประเทศผู้ไร้เทียมทาน "Parvezravan" ถูกลูกทรพีที่ปิดหน้าเอาไว้สังหารบนเตียงของเขา และทิ้งคราบเลือดที่ไม่อาจชะล้างออกไว้บนเตียงอันวิจิตรที่ประดับด้วยไพลินและเขาสัตว์สีทอง
บทเพลงอันโศกเศร้าของภูตได้ขับขานเอาไว้ว่า: หลังจากที่ Shiruyeh ได้ก่อความผิดมหันต์ขึ้น เขาได้ร้องไห้อย่างขื่นขมกับ Shirin ผู้เป็นมารดา แต่ Shirin ไม่ได้ตำหนิเขาเลย เธอทำเพียงแค่กอดลูกรักไว้ในอ้อมอก แล้วถอดหน้ากากทองเหลืองอันเป็นสัญลักษณ์ของการเนรเทศลง จากนั้นก็มอบรอยจุมพิตสุดซึ้งแห่งการอวยพรแก่เขา

หลังจากที่ Shiruyeh ได้ครองราชย์ เขาได้ทรมานกับฝันร้ายที่ไม่อาจหลุดพ้นมาเป็นเวลานาน และแล้วในขณะที่ออกประพาสในตอนกลางคืนอันโกลาหลครั้งหนึ่ง เขาได้ตกลงไปในช่องแยกอันมืดมิดของแผ่นดิน และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมาเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่จากรอยแยก กลืนกินสิ่งมีชีวิตของเมือง Gurabad ไปกว่าครึ่ง ประเทศที่สูญเสียเจ้าประเทศและขุนนางบ่าวไพร่ ได้ตกต่ำลงนับแต่นั้น แล้วถูกทรายเหลืองละโมบฝังกลบไปทีละนิด ๆ
และผู้รอดชีวิตที่เร่ร่อนได้ เรียกภัยพิบัติครั้งนี้ว่า "โรคระบาดแห่ง Shiruyeh" เป็นการตามสนองของกรรมที่ทรราชอายุสั้นผู้เหลวไหลก่อขึ้นเอง

ส่วน Shirin ผู้เป็นมารดา ก็ได้ทำให้คำทำนายข้อที่สามของ Liloufar กลายเป็นจริงขึ้นมา... เธอกับบุตรของเธอได้รับอิสรภาพที่แท้จริง บนแผ่นดินที่ล่มสลายไปเพราะการล้างแค้น ในที่สุดเธอก็กลายเป็นวิญญาณร้ายที่คอยล้างแค้นคนอวดดีจองหอง

"มีคนบอกว่า ตอนหลัง Shirin ถูก Ahmar นายของข้ากำราบ แล้วคุมขังไว้ในขวดเวทมนตร์สีเงิน และมีคนเล่าอีกว่า จนถึงตอนนี้เธอยังคงเร่ร่อนอยู่ในทะเลทราย ตามตื๊อนักผจญภัยที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำไม่เลิกรา และยังคงเฝ้าตามหาบุตรอันเป็นที่รักที่ตกลงไปในโลกอันมืดมิดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย..."
ภูตเผยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิ ทำท่าทีพูดสรุปเรื่องราวทั้งหมด
ขณะนี้ดวงจันทราลอยอยู่เหนือฟ้า ซึ่งเป็นโบราณกาลแสนยาวไกลที่ทะเลทรายยังไม่ได้ก่อตัวเป็นทะเลทราย เป็นช่วงเวลาที่เทพธิดาจัดพิธีบูชายัญขึ้น

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

TopButton