เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน

IconNameRarityFamily
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (I)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (I)4
RarstrRarstrRarstrRarstr
Book, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (II)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (II)4
RarstrRarstrRarstrRarstr
Book, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (III)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (III)4
RarstrRarstrRarstrRarstr
Book, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (IV)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (IV)4
RarstrRarstrRarstrRarstr
Book, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (V)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (V)4
RarstrRarstrRarstrRarstr
Book, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (VI)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (VI)4
RarstrRarstrRarstrRarstr
Book, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
items per Page
PrevNext
Table of Content
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (I)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (II)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (III)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (IV)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (V)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (VI)

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (I)

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (I)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (I)Nameเรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (I)
Type (Ingame)ไอเทมเควสต์
FamilyBook, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
RarityRaritystrRaritystrRaritystrRaritystr
Descriptionนักวิชาการพเนจรในยุคแห่งภัยพิบัติได้เดินทางไปทั่วทั้งป่าฝน, ทะเลทราย และตัวเมือง เพื่อรวบรวมเรื่องเล่ามากมายให้กลายเป็นเรื่องราว ตามตำนานเล่าว่านิทานต้นฉบับนั้นไร้จุดสิ้นสุด แต่ส่วนที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันกลับเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของมันเท่านั้น
เรื่องราวของคนไร้เงา

บนแผ่นดินใหญ่เคยมีกลุ่มคนที่ไร้เงาอาศัยอยู่
พวกเขาใช้ชีวิตธรรมดาเรียบง่าย ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับโลกภายนอกแหล่งอาศัยของตนเลยสักนิด
จนกระทั่งวันหนึ่ง นักผจญภัยผู้หลงทางได้มาพบพวกเขาเข้า คนไร้เงาค้นพบอย่างน่าทึ่งว่านักผจญภัยคนนี้มีผู้ติดตามทุกย่างก้าวอยู่เคียงข้าง ทั้งเงียบไร้วาจาและซื่อสัตย์อย่างยิ่ง นักผจญภัยเองก็ตะลึงเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าบนแผ่นดินนี้จะมีเผ่าพันธุ์ที่ไม่ทิ้งเงาใต้แสงตะวันด้วย
"ในฝันฉันยังนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจออะไรแบบนี้" นักผจญภัยเอ่ย
"ฝัน? คนของพวกเราไม่ฝันมานานแล้ว" หนึ่งในคนไร้เงากล่าว "ผู้เฒ่าเคยพูดไว้ว่า ความฝันทุกอย่างถูกฝันไปหมดแล้ว"
"ภายในเงามีความลับแห่งวิญญาณซ่อนอยู่ คุณไม่มีเงา เพราะงั้นจึงไม่มีฝัน" นักผจญภัยพูดต่อ "บางทีพวกคุณอาจเคยมีเงาก็ได้ เหมือนอย่างที่พวกคุณเคยมีความฝันมาก่อนนั่นแหละ"
"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันควรไปตามหาสิ่งที่หายไปของตัวเองยังไงดี?"
"ลองไปดูในป่าลึกลับเถอะ ที่นั่นมีความฝันอยู่มากมาย บางทีนักจับฝันอาจมีความฝันที่เกินมา และสามารถแบ่งปันให้คุณได้"
คนไร้เงาวัยเยาว์ทิ้งบ้านเกิดไว้เบื้องหลัง เดินทางไกลจนมาถึงป่าลึกลับที่นักผจญภัยบอก ในส่วนลึกของป่ามีเงาซ้อนทับกันมากมาย เงาของเมฆเอย เงาของต้นไม้เอย กระทั่งนกตัวน้อยนิดยังสามารถทิ้งเงาขนาดใหญ่เอาไว้บนผืนดินนุ่มได้
วันแล้ววันเล่า เขาเดินลอดผ่านระหว่างเงานับชั้นไม่ถ้วน ภายในเงามีความลับแห่งวิญญาณซ่อนอยู่ เขาคิด ท่ามกลางความลับมากมายเหล่านี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่ไม่มีความลับ ดังนั้นวันหนึ่งเขาจึงค้นพบว่า ห้วงฝันทุกแห่งต่างอ้าแขนต้อนรับเขา แม้เขาจะไม่มีความฝันของตัวเอง แต่กลับสามารถเข้าสู่ฝันของผู้อื่นได้
เขาได้เยี่ยมเยือนห้วงฝันมากมาย ฝันของนกมีสีสันสดใส ฝันของเสือมีกลิ่นหอมฟุ้ง แต่เขาก็ยังไม่เจอนักจับฝันอยู่ดี และไม่เห็นความฝันที่เกินมาเลยสักนิด ความฝัน เงา และทุกสิ่งที่อยู่ ณ ที่นี้... ต่างสอดคล้องกัน เขาคิด บางทีนักผจญภัยอาจหลอกเขาเข้าให้ซะแล้ว บางทีมันอาจไม่เคยมีความฝันไร้เจ้าของอยู่ด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับที่ไม่มีเงาซึ่งไร้เจ้าของนั่นแหละ
ตอนที่เขากำลังจะยอมรับความล้มเหลวของตัวเองนั้น นักจับฝันตามหาเขาจนเจอ การพบพานเกิดขึ้นในความฝันของหอยสังข์ เขาบุกรุกเข้าไปในช่วงที่ฝันใกล้จบ นึกอยากตามหาคลื่นขาวกับลมรสเกลือดู แต่ก็คว้าน้ำเหลวท่ามกลางความเศร้าสร้อยที่ทิ้งทวน
"เธอก็เป็นเหมือนกับหอยสังข์ขอนนี้ ป่าแห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเธอ"
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้น เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า เธอคือนักจับฝันที่นักผจญภัยบอก เพราะว่าเงาของหญิงคนนั้นมีลวดลายเนื้อผิวประหลาด ราวกับม่านซึ่งฝังไปด้วยอัญมณี
"ฉันตามหาคุณมาโดยตลอด" เขาเอ่ย "บางทีคุณอาจมีความฝันที่เกินมาบ้าง..."
"มันคือสิ่งที่เลือนหายไปอย่างรวดเร็วดั่งน้ำค้างยามเช้า..." น้ำเสียงนักจับฝันไร้วี่แววความโศกเศร้า "ความฝันไร้เจ้าของไม่อาจเก็บรักษาไว้ได้นาน ฉันเคยลองมาหลายวิธี แต่สุดท้ายพวกมันก็หายไปอยู่ดี"
"...ดูสิ เหมือนกับหอยสังข์ขอนนี้... พวกเราควรออกไปกันได้แล้ว" นักจับฝันจับมือของเขา และพาเขาออกจากความฝันไร้คลื่นขาวและลมเกลือที่ใกล้ดับมอด
ณ ริมสายน้ำไหลริน ผู้หญิงคนนั้นเล่าเรื่องราวให้เขาฟังมากมาย พร้อมทั้งสอนเคล็ดลับการเข้าสู่ฝันให้แก่เขา จากนั้นเธอก็ย้ำเตือนเขาอีกหลายหนเกี่ยวกับข้อห้ามของนักจับฝัน เช่น ห้ามย้อนกลับเข้าฝันของผู้อื่นซ้ำสอง เพราะความลับของผู้อื่นก็เป็นดั่งเหวลึกที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
"ฝันร้ายเจ้าเล่ห์เพทุบายกว่าที่เธอคิดยิ่งนัก เมื่อค้นพบการมีอยู่ของเธอ พวกมันก็จะห้อมล้อมเข้ามาพร้อมลากเธอไปยังจุดบอดแสง ที่นั่นไร้ขอบเขตของเงา เธอจะออกมาไม่ได้อีก หากอยู่ในนั้นนานพอ เธอจะเริ่มแยกแยะฟังคำพูดจากเสียงกระซิบกระซาบพวกนั้นออก สิ่งเหล่านั้นคือชื่อเก่าแก่ที่หลงเหลือจากความฝันเจือจางซึ่งไม่มีอยู่ในแห่งหนใดอีกต่อไป เธอก็รู้ เราไม่ควรเอ่ยพูดถึงนามของผู้ล่วงลับ ไม่งั้นพวกเขาจะมาหาเธอ..."
"ฉันเคยนึกว่าพวกคุณไม่มีเงา" เขาพูดต่อด้วยความจริงใจ "ฉันเคยนึกว่านักจับฝันเองก็ไร้ฝันของตัวเอง เพราะฉะนั้นถึงต้องไปรวบรวมความฝันของผู้อื่น"
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตอบคำใด เงาลายตาของเธอสั่นไหวไปตามลมค่ำคืนราวกับใบไม้
ทว่าคนไร้เงาวัยเยาว์อยากรู้คำตอบเหลือเกิน ถึงแม้นักจับฝันจะปกป้องเงาเอาไว้เป็นอย่างดี เขาก็ยังหาโอกาสเจออยู่ดี ต่างจากฝันของสิ่งมีชีวิตที่พเนจรเร่ร่อนตามป่า ห้วงฝันของพวกเขาเปิดประตูอ้าซ่า แต่หนทางสู่ห้วงฝันของนักจับฝันกลับเป็นเพียงถนนคับแคบเส้นเล็ก
เห็นได้ชัดเจนว่าเธอเก็บความฝันของตัวเองเอาไว้ในฝันของผู้อื่น เขาคิด แต่ความลับของเธอคืออะไรกันล่ะ? และนี่คือฝันของผู้ใดกัน?
ฝันของนักจับฝันก็ซ้อนทับหลายชั้นดั่งป่าลึกลับ เขาหลงทางในเวลาไม่ช้า ในขณะที่ไม่รู้ตัวนั้น ฝันร้ายก็ได้เข้าถึงตัวเขาแล้ว
"ฉันละเมิดข้อห้ามของนักจับฝัน แต่ถึงจะจ้องหุบเหวไร้ที่สิ้นสุดไป ก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี" เขาคิด "เธอเคยบอกว่า หากอยู่นานพอ จะสามารถแยกแยะชื่อได้จากเสียงของพวกมัน ถ้าเป็นแบบนั้น บางทีอาจพอรู้ได้ว่านี่คือฝันของใคร"
ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ฝันร้ายลากเขาไปยังห้วงลึกตามอำเภอใจ ที่นั่นเป็นดั่งที่ผู้หญิงคนนั้นเตือนเอาไว้ เป็นจุดบอดแสงอันไร้ขอบเขต เขาตั้งใจฟังเสียงกระซิบกระซาบทุกสิ่ง เฝ้าหวังว่าจะได้ยินคำพูดที่เป็นชื่อออกมาบ้าง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเขาก็ปะติดปะต่อชื่อหนึ่งได้จากสุ้มเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ชื่อนั้นราวกับมีแรงดึงดูดประหลาด ที่ทำให้เขาเอาแต่พร่ำเอ่ยทวนมันไม่หยุด
จากนั้นเขาก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้น
"ฉันเห็นภาพประหลาด" เขาเอ่ย "ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเข้าสู่ฝันของฉัน เธอขโมยฝันฉันไป ขโมยความลับของวิญญาณที่ฉันไม่เคยรู้ไป นับแต่นั้นมา ฉันก็ไม่มีเงาอีก ฉันได้ยินเธอคนนั้นเรียกฉันแบบนี้ เธอเรียกฉันว่า..."
"เธอก็รู้" ผู้หญิงคนนั้นขัดประโยคของเขาขึ้น "เราไม่ควรเอ่ยพูดถึงนามของผู้ล่วงลับ ไม่งั้นพวกเขาจะมาหาเธอ..."
นักจับฝันนั่งอยู่ข้างริมสายน้ำไหลริน เงาลายตาสั่นไหวไปตามลมค่ำคืนราวกับใบไม้
"นั่นก็แค่เรื่องราวหนึ่งของผู้ล่วงลับ ฉันเคยเล่าเรื่องราวแบบนี้ให้เธอฟังไปมากมายแล้ว แต่ก็ยังมีอีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่า"
ดังนั้น นักจับฝันจึงเล่าเรื่องราวที่ไม่เคยมีใครได้ฟังให้แก่คนไร้เงาวัยเยาว์ต่อไป...

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (II)

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (II)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (II)Nameเรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (II)
Type (Ingame)ไอเทมเควสต์
FamilyBook, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
RarityRaritystrRaritystrRaritystrRaritystr
Descriptionนักวิชาการพเนจรในยุคแห่งภัยพิบัติได้เดินทางไปทั่วทั้งป่าฝน, ทะเลทราย และตัวเมือง เพื่อรวบรวมเรื่องเล่ามากมายให้กลายเป็นเรื่องราว ตามตำนานเล่าว่านิทานต้นฉบับนั้นไร้จุดสิ้นสุด แต่ส่วนที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันกลับเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของมันเท่านั้น
เรื่องราวของ Dastur

กาลครั้งหนึ่ง มี Dastur จากคณะ Vahumana ผู้หนึ่ง ได้เดินทางไปยังส่วนลึกของทะเลทรายเพียงลำพัง เพื่อตรวจสอบโบราณสถานของประเทศโบราณ แต่กลับโชคร้ายเจอเข้ากับพายุทรายและพลัดหลงทาง ในจังหวะที่เขาเหลือลมหายใจเพียงน้อยนิด หญิงสาวนัยน์ตาสีอำพันผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา แหวกทรายพัดโหมออกเป็นทางด้วยไม้เท้า จากนั้นก็พาเขาออกจากทะเลทราย

เมื่อพวกเขามาถึงหมู่บ้านก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เธอเชิญชวนให้เขามากินอาหารเที่ยงในบ้าน พร้อมรับปากว่าตอนบ่ายจะไปส่งเขาที่ Caravan Ribat กระนั้น เมื่อได้เห็นนักเวทอ่อนเยาว์แหวกพายุทราย และไล่ฝูงอสูรดำมืดมิดระหว่างทางพวกนั้นแล้ว Dastur ก็ไม่ยอมที่จะจากไป เขาอยากให้อีกฝ่ายรับตนเป็นศิษย์ และสอนเคล็ดวิชาจากประเทศโบราณให้แก่เขา

นักเวทตอบว่า ดวงตาสีอำพันของเธอสามารถมองเห็นสิ่งที่ผู้ตายเคยพบและสิ่งที่ผู้มีชีวิตเคยเจอทั้งมวลได้ ทั้งคนไร้เงา, นาฬิกาทองแดงที่แกว่งได้ด้วยแรงจากจินตนาการ, วาฬผู้ไม่เคยออกนอกดินแดน, เมืองที่ดำรงอยู่แค่ในกระจกเงินที่สะท้อนแสงเงาจันทรา, นักวิชาการที่ถูกขังอยู่ในความเป็นนิรันดร์, หอคอยสูงที่ตั้งอยู่บนเส้นเจ็ดสาย นักเวทดูออกว่า เขามีพรสวรรค์ที่ไร้ผู้ใดเทียบได้และมีอนาคตอันกว้างไกลรอคอยอยู่ เธอยินดีที่จะถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดที่ตนเองมี เพียงแต่ว่าเธอเป็นห่วงว่า เมื่อที่เขาเรียนรู้ทุกสิ่งไปแล้ว เขาจะเห็นแก่ผลประโยชน์และไม่เห็นหัวตัวเองอีกต่อไป

Dastur คุกเข่าลงในที่นั้น พร้อมจุมพิตลงที่ปลายรองเท้าของเธอ รับประกันกับเธอเสียงแข็ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่มีทางลืมบุญคุณของเธอเป็นอันขาด ถึงจะต้องตายร่วมกับเธอ เขาก็จะไม่มีวันไม่เห็นหัวเธอแน่นอน ความจริงใจของเขาโน้มน้าวใจนักเวทสาวสำเร็จ เธอยิ้มอ่อนโยนก่อนพยุงเขาขึ้น จากนั้นก็จูงมือพาเขาไปยังหน้าประตูห้องใต้ดิน พร้อมบอกว่ายินดีจะรับเขาเป็นศิษย์ และความลับทุกสิ่งที่เธอรู้ก็ได้ซ่อนอยู่ในคลังหนังสือใต้ดินแห่งนี้แล้ว

พวกเขาลงไปกันตามบันไดวน ชั้นแล้วชั้นเล่า ทุกชั้นจะมีกระจกบานหนึ่งแขวนไว้เสมอ ในกระจกสะท้อนแสงรำไรจากคบเพลิงและใบหน้าของเขา ไม่รู้เลยว่าตัวเองเดินมานานเท่าไหร่แล้ว บางทีอาจเป็นไม่กี่ชั่วโมง หรืออาจแค่ไม่กี่นาทีก็ได้ ความมืดทำการรับรู้ด้านเวลาของเขาพร่ามัว สุดทางบันไดเป็นประตูคับแคบบานหนึ่ง หลังประตูเป็นห้องหนังสือทรงหกเหลี่ยม เขามองไม่เห็นเพดาน และไม่สามารถเดาความสูงของห้องได้เลย แต่ประเภทหนังสือของที่นี่มีมากมายเกินกว่าจินตนาการที่เขาจะมีต่อความรู้ทั้งมวล

ภายใต้การชี้นำของนักเวท เขาเรียนรู้ได้อย่างราบรื่น กระนั้นหลังผ่านไปหลายสัปดาห์ ทูตจากวิหารแห่งความเงียบงันก็ได้มาเยือนยังหมู่บ้าน พร้อมแจ้ง Dastur ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาตายด้วยโรคร้าย เมื่อพิจารณาเห็นว่า วิทยานิพนธ์ที่เขาส่งก่อนหน้านี้ได้ผ่านการตรวจสอบแล้ว สถาบันจึงตัดสินใจเลื่อนระดับเขาขึ้นตำแหน่ง Herbad เป็นกรณีพิเศษ เพื่อสืบทอดตำแหน่งอาจารย์ที่ปรึกษา และฟูมฟักนักเรียนต่อไป Herbad ดีใจออกนอกหน้า แต่กลับเสียดายที่จะจากไป ดังนั้นจึงไปถามนักเวทอย่างระมัดระวังว่า ขอให้เธอนำหนังสือบางส่วน และกลับไปยังสถาบันเพื่อชี้นำเขาต่อไปได้หรือไม่ นักเวทสาวตอบกลับว่า เธอยอมรับคำชวน แต่เธอมีน้องสาวอยู่คนหนึ่งที่อยากเข้าไปเรียนในสถาบันตลอด ทว่าเนื่องจากมีชาติกำเนิดอยู่ที่ทะเลทราย จึงไม่ถูกรับเข้าเรียนสักที เธอหวังว่า Herbad จะให้น้องสาวของเธอได้เข้าไปนั่งฟังการเรียนการสอนบ้าง Herbad กล่าวว่าสถาบันมีขั้นตอนตรวจสอบเข้มงวดในการรับนักเรียน เขายกให้เธอเป็นกรณีพิเศษไม่ได้ ถึงจะเข้าไปนั่งฟังอย่างเดียวก็ไม่ได้ นักเวทไม่ได้พูดอะไรมากอีก เธอเก็บข้าวของง่าย ๆ ก่อนจะเดินทางกลับไปยัง Sumeru พร้อมเขา

หลายปีให้หลัง นักปราชญ์ของคณะ Vahumana ได้สิ้นลมไป ด้วยวิทยานิพนธ์อันล้ำเลิศที่สำเร็จภายใต้การช่วยเหลือจากนักเวทนั้น Herbad ได้ขึ้นเป็นปราชญ์คนใหม่ตามคาด นักเวทเดินทางไปแสดงความยินดี พร้อมทั้งหวังว่าเขาจะสามารถใช้ตำแหน่งปราชญ์ ช่วยให้น้องสาวตนได้เข้าฟังการเรียนการสอนบ้าง ทว่าปราชญ์ที่เพิ่งรับตำแหน่งปฏิเสธ บอกว่าตนไม่มีหน้าที่ต้องทำเรื่องเช่นนี้ เขาไม่ต้องการคำชี้นำจากเธออีกต่อไป เพราะว่าเขาไม่จำเป็นต้องเขียนวิทยานิพนธ์อีกต่อไปแล้ว เธอควรกลับหมู่บ้านไปใช้ชีวิตเกษียณตัวอย่างสงบเสียที นักเวทไม่ได้พูดอะไรมากอีก เธอเก็บข้าวของง่าย ๆ ก่อนจะเดินทางกลับไปยังทะเลทรายเพียงลำพัง

ผ่านไปอีกหลายปี มหาปราชญ์ได้สิ้นชีพลง นักปราชญ์ของคณะ Vahumana ได้ถูกเลือกให้เป็นมหาปราชญ์คนใหม่ เมื่อได้ยินข่าวนี้ นักเวทก็รีบปรี่มาจากทะเลทราย พอเจอตัวมหาปราชญ์ก็คุกเข่าลงต่อหน้า พร้อมจุมพิตลงที่ปลายรองเท้าของเขา เตือนถึงคำสัญญาที่เขาเคยให้เอาไว้ในอดีต ขอร้องอ้อนวอนให้เขารับชาวเผ่าของตนที่ไร้บ้านเพราะพายุทราย ขอให้พวกเขาได้ไปลี้ภัยในป่าฝน มหาปราชญ์บันดาลโทสะ บอกว่าจะโยนเธอไปขังยังคุกทองสัมฤทธิ์ ให้เธอตายไปด้วยความหิวกระหาย เพราะเขาไม่แม้แต่จะรู้จักจอมต้มตุ๋นที่มาจากทะเลทรายผู้นี้ด้วยซ้ำ แต่เธอกลับกล้าพูดจามั่วซั่วขู่บังคับสถาบัน นักเวทที่พ้นวัยอ่อนเยาว์เงยหน้าขึ้น ปาดน้ำตาบนแก้มอย่างแผ่วเบา ใช้ดวงตามัวสีอำพันทั้งคู่จ้องมหาปราชญ์เป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าอีกฝ่ายจะเมตตาปล่อยเธอกลับหมู่บ้าน และหวังว่าเขาจะช่วยเพื่อนร่วมเผ่าของตน มหาปราชญ์ปฏิเสธและสั่งให้ทหารมัดตัวเธอเอาไว้ ดังนั้น นักเวทไม่ได้พูดอะไรมากอีก เพียงแค่ตอบกลับประโยคเดียว:

"หากเป็นเช่นนี้ ขอเชิญท่านกลับไปยังหมู่บ้านของตนเถอะ"

มหาปราชญ์ชะงักงัน เมื่อเงยหน้าอีกครั้งก็ค้นพบว่าตนอยู่ตรงหน้า Caravan Ribat ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก หมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปถูกปกคลุมด้วยฝุ่นทรายที่ลอยว่อนและแสงราตรี ดูรางเลือนไม่สมจริง เด็กสาวยืนตรงหน้าแย้มยิ้มหวานให้เขา นัยน์ตาสีอำพันสะท้อนสภาพในตอนนี้ของเขา Dastur จากคณะ Vahumana ที่วิทยานิพนธ์ยังไม่ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบ

"เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านควรกลับสถาบันได้แล้วล่ะ เพราะอย่างไร มันก็เหมือนกับในเรื่องเล่า..."

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (III)

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (III)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (III)Nameเรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (III)
Type (Ingame)ไอเทมเควสต์
FamilyBook, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
RarityRaritystrRaritystrRaritystrRaritystr
Descriptionนักวิชาการพเนจรในยุคแห่งภัยพิบัติได้เดินทางไปทั่วทั้งป่าฝน, ทะเลทราย และตัวเมือง เพื่อรวบรวมเรื่องเล่ามากมายให้กลายเป็นเรื่องราว ตามตำนานเล่าว่านิทานต้นฉบับนั้นไร้จุดสิ้นสุด แต่ส่วนที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันกลับเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของมันเท่านั้น
เรื่องราวของเจ้าชายและ Sumpter Beast

กาลครั้งหนึ่งเมื่อแสนนานมาแล้ว ในยุคสมัยที่ท่าเรือ Ormos ยังถูกปกครองด้วยเหล่า Dey ผู้ออกเรือไปทั่วทุกน่านน้ำ ตอนนั้นเคยมี Dey ผู้กล้าหาญชาญชัยคนหนึ่งได้ยึดครองเกาะและดันเจี้ยนจำนวนนับไม่ถ้วน เพราะเหตุนี้จึงได้รับสมบัติล้ำค่าหายากมากมาย และกลายเป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในท่าเรือ กระนั้น เนื่องจากล่องทะเลเป็นเวลาหลายปีดีดัก กว่า Dey ท่านนี้จะให้กำเนิดบุตรคนเดียวขึ้นก็ชราตัวลงแล้ว ปรากฏว่าเจ้าชายยังไม่ทันจะบรรลุนิติภาวะ เขาก็สิ้นชีพลงเสียก่อน
แม้ว่าเจ้าชายในวัยเยาว์จะสืบทอดทรัพย์สินที่ Dey เหลือเอาไว้ทั้งหมด แต่กลับไร้กำลังปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดา และด้วยการชี้นำจากผู้ใหญ่ละโมบไร้จริยธรรม ไม่นานนักเขาจึงใช้ชีวิตเยี่ยงเดรัจฉานซึ่งไร้ความละอายแก่ใจ ถนนตรอกซอยในท่าเรือ Ormos เป็นดั่งอสูรเขมือบทรัพย์ มรดกของ Dey ถูกเจ้าชายผลาญหมดในเวลาไม่กี่ปี มิหนำซ้ำยังมีหนี้สินก้อนโตอีกต่างหาก รอจนเจ้าชายรู้ตัวอีกที ตนก็สิ้นเนื้อประดาตัว แม้แต่ Mora เดียวก็ควักไม่ออก หลังจากขายทอดคฤหาสน์และปลดข้ารับใช้กลุ่มสุดท้ายออก เจ้าชายผู้จนตรอกได้แต่ไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์กลางเมือง ที่นี่บูชาสักการะเทพโบราณผู้คุ้มครองเหล่ากะลาสี เพราะได้รับการอุปถัมภ์จากบิดาของตน วิหารถึงได้มีสภาพยิ่งใหญ่สมเกียรติเช่นนี้
เจ้าชายเอ่ยขอความช่วยเหลือจากนักบวชของวิหาร "ผู้อาวุโสอันปราดเปรื่อง เราเป็นบุตรของ Dey ผู้พิชิตเจ็ดสมุทร แต่กลับใช้เงินล้างผลาญจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ โปรดเมตตาช่วยชี้นำทางสว่างให้เราด้วยเถอะ ให้เราสามารถใช้หนี้ทั้งหมดคืนและซื้อบ้านของเรากลับมา เราสาบานว่าจะกลับตัวกลับใจเป็นคนที่รู้หน้าที่ของตัวเอง"
"เจ้าชายผู้อ่อนเยาว์เอ๋ย" นักบวชเอ่ย "แม้โชคชะตาของมนุษย์จะถูกเทพเจ้ากำหนดเอาไว้แต่แรก แต่มันก็เกิดขึ้นด้วยการกระทำของพวกเขาเองด้วยทั้งนั้น ในเมื่อวันนี้ท่านปรารถนาที่จะกลับตัวกลับใจ งั้นก็ควรต้องทำงานอย่างขยันขันแข็ง จะมาคิดหาโอกาสพึ่งพาทางลัดได้อย่างไร?"
เจ้าชายตอบอย่างรวดเร็ว "บิดาของเราเคยอุปถัมภ์วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เอาไว้มาก หากให้พูดกันตามตรง รูปเคารพทองคำพวกนี้ รวมถึงค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ครึ่งหนึ่งของทั้งหมดนั้นควรเป็นของเราด้วยซ้ำ และเราก็มาเพื่อทวงคืนหนี้เหล่านี้อย่างไรล่ะ!"
"เจ้าชายผู้ยโสโอหัง ท่านจะเป็นปฏิปักษ์ต่อเทพเจ้าได้อย่างไร?" นักบวชอุทาน "แต่เห็นแก่บิดาของท่าน หากท่านตอบปากรับคำกระผมว่าจากนี้จะกลับตัวกลับใจ บริหารเงินทองให้ดี กระผมก็สามารถบอกวิธีกลับมาร่ำรวยให้กับท่านได้"
เจ้าชายสาบานต่อเทพเจ้า ดังนั้นนักบวชจึงบอกให้เขาไปยังถนนท่าเรือชั้นนอก เจ้าชายมาถึงตลาดและได้พบกับสตรีแต่งตัวสง่าราวกับคุณหญิงคุณนายกำลังยืนเฝ้า Sumpter Beast ผ่ายผอมตัวหนึ่ง
เจ้าชายปรี่เข้าไปถาม "คุณผู้หญิง มีอะไรให้เราช่วยได้หรือไม่?"
"คุณมาได้พอดีเลย" สตรีผู้นั้นตอบ "ฉันมีเรื่องด่วนต้องล่องทะเลไปไกล กำลังปวดหัวที่ไม่มีใครสามารถช่วยดูแลสัตว์ตัวนี้ให้ฉันได้อยู่เลย หากคุณสามารถช่วยฉันได้ ไว้สามเดือนหลังฉันกลับมาจากต่างแดน จะมอบค่าตอบแทนจำนวนสิบล้าน Mora ให้คุณ"
เจ้าชายฟังแล้วก็ยินดีปรีดายิ่งนัก
"แต่ว่า" สตรีผู้นั้นพูดต่อ "คุณห้ามให้อาหารสัตว์ตัวนี้จนอิ่มเด็ดขาด และห้ามพูดคุยกับมันด้วย มิเช่นนั้นละก็คุณจะสูญเสียแม้กระทั่งสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ทั้งหมด"
"ฉันยังมีอะไรให้สูญเสียอีกล่ะ?" เจ้าชายคิดในใจ ดังนั้นจึงตอบตกลงอย่างเต็มปากเต็มคำ สตรีผู้นั้นจึงฝาก Sumpter Beast ไว้กับเขา เวลาสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เจ้าชายทำตามที่สตรีสั่ง ไม่ให้อาหาร Sumpter Beast จนอิ่ม และไม่เคยคุยกับมันเลยสักคำ จนกระทั่งคืนสุดท้าย
วันนั้น เจ้าชายที่อยู่หน้ากองไฟกำลังจินตนาการถึงชีวิตหลังจากได้รับค่าตอบแทน ด้วยอารมณ์คึกคะนองจึงปริปากพูดกับ Sumpter Beast ว่า "Sumpter Beast เอ๋ย Sumpter Beast เพราะแกแท้ ๆ ฉันถึงกลับมาร่ำรวยอีกครั้ง หากแกอยากได้อะไร ฉันจะทำให้แกแน่นอน"
เมื่อได้ยินประโยคนี้ Sumpter Beast ตัวนั้นก็ร้องโฮขึ้น "เจ้าชายที่เคารพ ข้าไร้คำขออื่นใด ขอเพียงได้กินอิ่มสักมื้อในวันสุดท้ายก็เท่านั้น"
เมื่อได้ยิน Sumpter Beast ปริปากพูด เจ้าชายก็ตะลึงงัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงทิ้งคำสั่งของสตรีเอาไว้หลังหัว ก่อนจะหันไปหยิบหญ้าและน้ำจากรางอาหารมา
"เจ้าชายผู้โอบอ้อมอารี" Sumpter Beast ที่กินอิ่มกล่าวอย่างเชื่องช้า "ข้าเคยเป็นผู้รับใช้ของเทพเจ้าบนฟากฟ้า เคยเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองหลายแดนในทะเลทราย แต่กลับถูกแม่มดอำมหิตลวงหลอก กลายสภาพมาเป็นเช่นนี้ หากท่านมีเมตตา โปรดปล่อยข้าคืนสู่ทะเลทราย ข้าขอสาบานต่อราชาแห่งสุริยันแผดเผา ข้าจะประทานพรแห่งความร่ำรวยอู้ฟู่ให้แก่ท่าน มากยิ่งกว่าที่แม่มดผู้นั้นจะให้เสียอีก"
เจ้าชายฟังคำของ Sumpter Beast อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจซ่อน Sumpter Beast เอาไว้ ส่วนตัวเองก็หลบอยู่ในซอกมุมรอวันกลับมาของสตรีผู้นั้น
วันต่อมา สตรีกลับมายังตลาดตามคำนัด ปรากฏว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าชายและ Sumpter Beast
"เจ้ายาจกตระบัดสัตย์!" สตรีก่นด่า "หากฉันจับตัวได้ละก็ ฉันจะจับแกขังอยู่ในขวดวิเศษใบเล็กสุด ให้แกต้องทนทุกข์ทรมานตราบชั่วชีวิต"
เมื่อเห็นท่าทีของสตรี ในที่สุดเจ้าชายก็เชื่อคำพูดของ Sumpter Beast หลังจากสตรีผู้นั้นจากไป เขาก็เตรียมที่จะปล่อย Sumpter Beast ตัวนั้นไป ก่อนแยกจากกัน Sumpter Beast กล่าวกับเขาว่า "เจ้าชายผู้เมตตา ขอให้เทพเจ้าทุกองค์แห่งทะเลทรายคุ้มครองท่าน ข้าจะทำตามสัญญา มอบความร่ำรวยและความสุขอันเป็นอนันต์ให้แก่ท่าน หากแต่มีเพียงเรื่องเดียว นั่นคืออย่าถามถึงที่มาของพวกมันเด็ดขาด มิเช่นนั้นละก็ท่านจะสูญเสียสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ทั้งหมด"
เจ้าชายมาถึงยังสถานที่ลับแห่งหนึ่ง ณ ชายขอบทะเลทรายตามคำชี้นำของ Sumpter Beast เขาได้พบกับวังหรูหราอลังการแห่งหนึ่งตามที่อีกฝ่ายบอก กำแพงทั้งหมดประดับประดาด้วยทองคำและอัญมณี ประตูทำขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ หนุ่มรับใช้หล่อเหลาเดินนำหญิงบำเรอสะโอดสะองออกมายืนต้อนรับเขานอกประตู
นับแต่นั้นมา เจ้าชายก็กลับมาใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอีกหน หนุ่มรับใช้จะนำเพชรนิลจินดาจำนวนนับไม่ถ้วนมาให้ทุกวัน อาหารโอชาและเหล้าสุราเลิศรสมีให้กินตามอำเภอใจ หญิงบำเรอที่มามอบความสำราญใจก็ต่างหน้าไปในทุกวัน ชีวิตของเขาผ่านไปแบบนี้เป็นเวลาสามปี
ทว่าจะดื่มด่ำอย่างมีความสุขเช่นไรก็ย่อมมีวันต้องเบื่อหน่าย วันหนึ่ง เจ้าชายตื่นขึ้นจากความมัวเมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา จู่ ๆ ก็เกิดความคิดที่ว่า "ฉันเบื่อชีวิตในตอนนี้แล้ว ต้องหาเรื่องราวตื่นเต้นใหม่ ๆ ตอนนั้นฉันไม่ฟังคำสั่งของแม่มดถึงได้มีชีวิตดีงามแบบนี้ Sumpter Beast ที่บอกว่าตนเป็นกษัตริย์ตัวนั้น ต้องกลัวว่าฉันจะเจอความลับของเขา ถึงปิดบังฉันเอาไว้แน่นอน หากเจอต้นตอของความร่ำรวยทั้งหมดทั้งมวลนี้ ฉันจะต้องได้รับความสุขสันต์อีกมากมายแน่นอน"
ดังนั้นเจ้าชายจึงเรียกข้ารับใช้มาพร้อมถาม "ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ บอกเราได้หรือไม่ว่าเพชรนิลจินดา อาหารเหล้าสุราชั้นดี รวมถึงสาวบำเรอที่มาปรนนิบัติเหล่านี้ ได้มาแต่ที่ใดกัน?"
"ย่อมได้แน่นอน นายท่านที่เคารพ" หนุ่มรับใช้ตอบ "ทุกวันกระผมจะไปกลับระหว่างทะเลทรายและวัง สิ่งที่ท่านใช้ในชีวิตประจำวันต่างมาจากผืนทรายทั้งนั้น สาวบำเรองามงดคือปลาไหลทะเลทราย ทองคำส่องประกายคือเม็ดทรายนับไม่ถ้วนในทะเลทราย อาหารชั้นเลิศก็มีกระผมเป็นผู้ทำขึ้น"
"ส่วนตัวกระผม ข้ารับใช้ของท่านนั้น" หนุ่มรับใช้ชะงักเล็กน้อย "เป็นเพียงสคารับต่ำต้อยตัวหนึ่งก็เท่านั้น"
เมื่อคำพูดจบลง วังที่เคยตั้งตระหง่านตระการตาก็สลายไปในทันที ในชั่วพริบตานั้น เจ้าชายค้นพบว่าตนกำลังนั่งอยู่บนเนินทรายต่ำแห่งหนึ่ง รอบด้านนอกจากแมลงแล้วก็ไร้สิ่งใดอีก
เวลาผ่านไปนาน เจ้าชายถึงเรียกสติตัวเองกลับคืน ขณะที่ตกใจตื่นกลัวนั้น กลับอดไม่ได้ที่จะเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป แต่การจะได้สิ่งที่สูญเสียไปคืนมาหาใช่เรื่องง่าย สุดท้ายเจ้าชายก็กลายเป็นผู้เร่ร่อน รับรู้ไม่ถึงความสุขอีกต่อไป หลังจากนั้น ทุกครั้งที่เขาได้พบคนที่ยินดีจะฟังเขาพูดนั้น เขาจะบอกเล่าเรื่องเล่าเช่นนี้...

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (IV)

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (IV)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (IV)Nameเรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (IV)
Type (Ingame)ไอเทมเควสต์
FamilyBook, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
RarityRaritystrRaritystrRaritystrRaritystr
Descriptionนักวิชาการพเนจรในยุคแห่งภัยพิบัติได้เดินทางไปทั่วทั้งป่าฝน, ทะเลทราย และตัวเมือง เพื่อรวบรวมเรื่องเล่ามากมายให้กลายเป็นเรื่องราว ตามตำนานเล่าว่านิทานต้นฉบับนั้นไร้จุดสิ้นสุด แต่ส่วนที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันกลับเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของมันเท่านั้น
เรื่องราวของนักวิชาการ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วเคยมีนักวิชาการอยู่ท่านหนึ่ง คุณจะได้พบท่าทีดูแคลนทุกสิ่งอย่าง ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในคนที่เป็นปัญญาชนบนตัวเขา แม้ความจริงแล้วตัวเขานั้น หากใช้ถ้อยคำประนีประนอมก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นท่ามกลางคนที่อยู่ในระดับเดียวกันได้เลย
ความรู้ก็เหมือนผลไม้ ซึ่งกาลเวลามักพรากความสดใหม่ของมันไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเขากินไม่หมดในขณะที่มันยังฉ่ำอยู่ มันก็จะเหลือเพียงความเน่าเสียที่หวานเลี่ยนเท่านั้น
"เวลาคือศัตรูของฉัน" นักวิชาการหนุ่มคิด "มันน่ารำคาญยิ่งกว่าเพื่อนร่วมงานของฉันซะอีก"
แต่นิสัยเกียจคร้านและไร้ระเบียบของเขา ใช่ว่าจะเปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ ดังนั้นในขณะที่เขาปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ ส่วน "เพื่อนร่วมงานที่น่ารำคาญ" ก็ได้รับการยกย่องจากผู้คน แต่สิ่งที่เขาเหลือไว้กลับเป็นเพียงร่องรอยแห่งกาลเวลาที่ไร้ประโยชน์
บางทีอาจเป็นเพราะโชคชะตาเล่นตลก ตัวเอกของเราจึงได้รับโอกาสทำความปรารถนาให้เป็นจริงอย่างคาดไม่ถึง
"กาลเวลาอาจดูเหมือนยุติธรรม แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ที่ความคิดของฉันไม่ว่องไวเท่าคนอื่น นั่นเป็นเพราะกาลเวลาโหดร้ายกับฉันเกินไป ไม่ใช่เพราะฉันมีปัญญาด้อยกว่าคนอื่น..." นักวิชาการที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปครุ่นคิดพลางกล่าว "ในเมื่อตอนนี้ฉันมีโอกาสแล้ว จะต้องใช้มันให้ดี"
เขาจึงขอพรกับญินที่บาดเจ็บว่า "ฉันต้องการเวลาที่ยุติธรรม... เพื่อที่ฉันจะสามารถเขียนบทความที่ดียิ่งขึ้นได้"
ญินเข้าใจความหมายของเขาอย่างรวดเร็ว "ทุกอย่างล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย" ญินกล่าว
"ก็อย่างที่เห็น ฉันจ่ายไปแล้วบางส่วน" เขายักไหล่ "วันเวลาอันเยาว์วัย เสียไปกับการไล่ตามสิ่งไร้ค่าอย่างไร้ประโยชน์ มาถึงตอนนี้ ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ผู้คนเรียกว่าความสุขอีกต่อไปแล้ว ฉันแค่ต้องการหลงเหลือผลงานที่น่าตื่นตะลึงไว้ เพื่อให้ชื่อของฉันได้รับการสรรเสริญ ไม่ใช่แค่น้ำหมึกบนหน้ากระดาษที่จะเลือนหายไปในสักวันหนึ่ง แต่ต้องถูกสลักไว้บนหินต่างหาก แบบนี้ต่อให้ผ่านไปอีกกี่ร้อยกี่พันปี ร่องรอยของฉันก็จะยังคงอยู่ พูดได้ว่า... ขอเพียงได้ความยุติธรรมกลับคืนมา ฉันก็เอาชนะเวลาได้แล้ว"
"ถ้าเจ้ายืนกรานเช่นนั้น" ญินไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ และทำความปรารถนาของนักวิชาการให้เป็นจริงตามที่ขอไว้
แต่นั่นคือญินหรือปีศาจปลอมตัวมากันแน่นะ ตอนนี้มาคิด ๆ ดูแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าสงสัยซะจริง แต่ช่างเรื่องนี้ไปก่อนเถอะ นักวิชาการที่สมปรารถนาพบเรื่องที่น่าประหลาดใจ เมื่อเทียบกับความคิดของเขาแล้ว ทุกอย่างรอบตัวดูเหมือนจะเชื่องช้าลง
"เยี่ยมเลย! เยี่ยมมาก ตอนนี้ความว่องไวในการคิดวิเคราะห์ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว" ตอนแรกนักวิชาการพอใจมาก เมื่อมีเวลาที่มากพอก็สามารถค่อย ๆ คิดไตร่ตรองได้แล้ว เขาคิดอย่างนั้น เวลาชั่วหนึ่งเม็ดทรายที่ร่วงหล่น แม้ไม่มากพอให้เขายกมือซ้ายมาก่ายหน้าผากได้ แต่กลับมากพอที่จะปล่อยความคิดให้โลดแล่นจากผืนป่าไปยังทะเลทราย จากทุ่งกว้างไปยังทุ่งหิมะได้ น่าเสียดายที่หน้าหนังสือไม่สามารถวางเรียงต่อกันได้ จึงต้องคอยเปิดทีละหน้า ๆ แต่ต่อให้หน้าหนังสือสามารถวางเรียงต่อกันได้จริง เขาก็ไม่สามารถกวาดสายตาได้ไวอย่างนั้นหรอก ชั่วเวลาที่สายตาหยุดอยู่ที่ตัวอักษรหนึ่ง นั่นก็มากพอที่เขาจะนึกถึงทุกคำที่เกี่ยวข้องกับตัวอักษรนี้ และนึกถึงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น ๆ ได้หมดแล้ว
"ฉันคิดเยอะเกินไป และเขียนน้อยเกินไป" นักวิชาการพูดต่อ "ฉันควรจะบันทึกข้ออ้างอิงที่สมเหตุสมผลที่สุด ด้วยถ้อยคำที่สละสลวยที่สุด" แต่เมื่อเขาเขียนตัวอักษรแรกของบทความเสร็จ ความคิดของเขากลับทะยานไปถึงตอนสุดท้ายของบทความแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาเลยต้องทบทวนบทความที่ตัวเองต้องการเผยแพร่ซ้ำ ๆ จนมันค่อย ๆ สมบูรณ์แบบ เพียงแต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในหัวของเขาเท่านั้น ในขณะที่เขาคิดทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว มือขวาของเขายังเขียนตัวอักษรตัวที่เจ็ดไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ
เดิมทีบทความนี้ควรเป็นบทความที่มีข้ออ้างอิงที่สมเหตุสมผลที่สุด และใช้ภาษาได้สละสลวยที่สุด แต่สุดท้ายเพราะความเหนื่อยล้าของนักวิชาการ จึงทำให้ข้อความแต่ละท่อนกระจัดกระจายเละเทะ ราวกับหน้าหนังสือที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ แล้วนำมาประกอบรวมกันมั่ว ๆ ตัวอักษรที่เรียงต่อกันก็ราวกับสุ่มเลือกมาจากเศษเล็กเศษน้อยของหนังสือที่สมบูรณ์ จนคนทั่วไปหาความเชื่อมโยงกันไม่ได้เลย
ค่ำคืนนั้นเป็นราตรีที่ไร้ดาว เขาลงแรงไปครั้งหนึ่ง แต่ราวกับเดินทางมายาวนานหลายร้อยปี ในที่สุดเขาก็ออกจากห้องหนังสือลงมายังลานบ้าน
"พูดออกมาย่อมเร็วกว่าเขียนออกมา" เขายังคงมีความหวัง แต่เขาก็ยังไม่สามารถเปล่งเสียงพูดได้ทันความคิดอยู่ดี ถ้อยคำที่เขาพูดออกมา จึงราวกับพูดได้นิดนึงก็เปลี่ยนเรื่องกลางคัน เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนสุดท้ายกลายเป็นเสียงบ่นพึมพำไป
"ชายชราที่น่าสงสาร! เขาดูราวกับคนเสียสติ" หนุ่มสาวที่แต่งตัวงดงามต่างพากันมองเขาด้วยความสงสาร "แต่อย่างน้อย เขาก็ยังมีพระจันทร์"
พอผู้คนพูดจบก็พากันจากไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงนักวิชาการที่ติดอยู่ในกรงขังที่เรียกว่า "ร่างกาย" อยู่ในลานบ้านใต้แสงจันทร์เพียงลำพัง แล้วตัวเขาที่รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ก็เริ่มหวนคิดถึงเรื่องราวที่ตัวเองเคยอ่าน...

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (V)

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (V)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (V)Nameเรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (V)
Type (Ingame)ไอเทมเควสต์
FamilyBook, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
RarityRaritystrRaritystrRaritystrRaritystr
Descriptionนักวิชาการพเนจรในยุคแห่งภัยพิบัติได้เดินทางไปทั่วทั้งป่าฝน, ทะเลทราย และตัวเมือง เพื่อรวบรวมเรื่องเล่ามากมายให้กลายเป็นเรื่องราว ตามตำนานเล่าว่านิทานต้นฉบับนั้นไร้จุดสิ้นสุด แต่ส่วนที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันกลับเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของมันเท่านั้น
เรื่องราวของกระจก พระราชวัง และผู้หลับฝัน

เธอมักจะฝันถึงพระราชวังอันแสนไกลแห่งนั้นคืนแล้วคืนเล่า หัวมุมมากมาย ทางเดินที่มีหลังคาโค้ง และทางเดินแคบ ๆ ที่ประกอบกันเป็นสิ่งก่อสร้างที่สลับซับซ้อนแห่งนี้ ทุกหัวโค้งตรงระเบียงทางเดินจะแขวนกระจกเงินขอบชุบทองคำเอาไว้ ว่ากันว่าพระราชาใช้เวลาถึงสองร้อยปี (ถ้าคำนวณตามปฏิทินโบราณในเวลานั้น ต้องบวกเพิ่มอีกหกปี) ในการออกแบบพระราชวังแห่งนี้ เพียงนั่งบนบัลลังก์ และมองไปที่กระจกบานไหนก็ได้ จะสามารถมองเห็นทุกมุมของอาณาจักรตามเส้นทางการหักเหของแสงที่วางแผนไว้เป็นอย่างดีได้ แต่ขณะที่อยู่ในฝัน เมื่อเธอมองไปยังกระจกที่อยู่ปลายระเบียงทางเดิน กลับมองเห็นเพียงเงาสะท้อนที่เลือนรางของตัวเอง... หญิงสาวสวมหน้ากากที่แต่งกายด้วยชุดแสนสวยเดินผ่านระเบียงวนที่ตกแต่งอย่างงดงาม แลดูเลื่อนลอยและพร่าเลือนท่ามกลางแสงสีทองยามกลางวันที่สว่างไสวเหลือเกิน เธอรู้จุดหมายของตัวเองดี แม้ว่านี่จะดูผิดปกติอยู่บ้างก็เถอะ เธอต้องการไปเข้าเฝ้าพระราชาองค์นั้น เพื่อพูดอะไรบางอย่าง เพราะเธอรู้ดีว่า นั่นคือความมุ่งมั่นที่เธอไม่อาจควบคุมได้ ซึ่งบังคับให้เธอต้องพูดออกไป แม้ว่าในยามที่เธอสะดุ้งตื่นแล้ว คำพูดที่รอให้กล่าวออกไปเหล่านั้นมักจะหายไปในแสงกระจกที่คดเคี้ยววกวนก็ตาม
ปีแล้วปีเล่าในความฝันที่ราวกับแสงรุ่งอรุณ แต่ทว่าเธอก็ยังหาทางไปยังบัลลังก์ไม่เจอ และยังไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาของพระราชาองค์นั้นสักที หญิงสาวที่เคยหลงทางในกระจกเมื่อกาลก่อน บัดนี้กลายเป็นนักเวทที่มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น การตื่นขึ้นอันไร้ความหมายในระหว่างความฝันอันแสนสั้นพวกนั้น... ความคิดที่แสนมหัศจรรย์นั่นก็ยังคงติดอยู่ในใจของเธอ จนวันหนึ่ง เธอได้พบเบาะแสของอาณาจักรอันแสนไกลนั่น นักเวทจึงละทิ้งทุกอย่างที่ผู้คนมองว่าล้ำค่าโดยไม่ลังเล และออกเดินทางเพียงลำพังภายใต้แสงจันทร์พร่างพราย ผ่านหุบเขาลึกแห่งเงามืด และป่าลึกอันมืดมิด จนในที่สุดก็พบอาณาจักรแห่งนั้นที่อยู่ในความฝัน เพียงแต่เมืองถูกเผาทำลายไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว อาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองในอดีตล่มสลายไปนานแล้ว ดังเช่นที่กล่าวไว้ในบทกวี:

สายลมรุ่งอรุณถูกอดีตลืมเลือน
ดุจท้องนภาบดบังเมฆาและเสียงเพลง
เหลือเพียงแสงกะพริบริบหรี่บนยอดหอคอย
ส่องสะท้อนราตรีอันยาวนานของเมืองร้าง

เธอเดินเข้าไปในซากพระราชวัง ท่ามกลางกำแพงที่หักพัง กระจกเงินขอบชุบทองคำเหล่านั้นแตกเสียหาย กลายเป็นเศษซากกระจัดกระจายอยู่ท่ามกลางกองฝุ่น เศษกระจกแต่ละชิ้นต่างสะท้อนเงาของจันทราเย็นเยียบ พระราชวังไม่ได้ดูเลือนรางพิศวงเหมือนอย่างที่เธอเคยเห็นในฝัน แค่เลี้ยวไม่กี่หัวมุม เดินผ่านทางเดินที่มีหลังคาโค้งไม่กี่เส้น เธอก็สามารถเปิดประตูใหญ่ที่พาไปสู่บัลลังก์ โดยแทบไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำ นั่นคือท้องพระโรงรูปทรงวงแหวน ที่มีกระจกแบบเดียวกับตรงระเบียงทางเดินหลายร้อยบานแขวนอยู่บนกำแพงหิน กระจกส่วนใหญ่ล้วนแตกไปหมดแล้ว นักเวทค่อย ๆ เดินไปนั่งลงบนบัลลังก์ที่ว่างมานานหลายร้อยปี และมองไปยังกระจกบานที่ยังคงมีสภาพดีอยู่
ในกระจกปรากฏภาพหญิงสาวสวมหน้ากากที่แต่งกายด้วยชุดแสนสวย กำลังเดินผ่านระเบียงวนที่ตกแต่งอย่างงดงาม และด้านหลังหญิงสาวซึ่งมีกระจกที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ก็กำลังสะท้อนเงาของเธอนับพัน
เธอตกตะลึง เงยหน้าขึ้นในทันที หญิงสาวที่สวมหน้ากากคนนั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เฝ้ามองดูเธออย่างเงียบงันด้วยแววตาโศกเศร้าอย่างที่เธอนึกไม่ถึง นักเวทอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หญิงสาวคนนั้นกลับใช้กริชแทงเข้าหัวใจของเธอ กุหลาบอันงดงามผลิบานตรงปลายกริชอย่างเงียบเชียบ เปลวไฟลุกโชนขึ้นรอบด้าน และกลืนกินท้องพระโรงที่เคยถูกเผาเมื่อหลายร้อยปีก่อนอีกครั้ง
เธอยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกสับสน แปลกใจ และโล่งใจ หญิงสาวปลดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าของนักเวท ริมฝีปากที่แห้งผากคู่นั้นสั่นไหวเล็กน้อย
คราวนี้ ในที่สุดเธอก็ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ผ่านมาหลายสิบปี หลายร้อยปี ถ้อยคำที่อยู่ในความฝันอันลึกลับยามอาทิตย์อัสดงครึ้มมัวนั้น เป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่ง เรื่องราวที่เธอเล่าให้เธอฟัง เรื่องราวที่สะท้อนอยู่ในเศษกระจกเงินนับไม่ถ้วน ที่จะดังสะท้อนไปชั่วนิรันดร์...

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (VI)

เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (VI)
เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (VI)Nameเรื่องราวของค่ำคืนนับพัน (VI)
Type (Ingame)ไอเทมเควสต์
FamilyBook, เรื่องราวของค่ำคืนนับพัน
RarityRaritystrRaritystrRaritystrRaritystr
Descriptionนักวิชาการพเนจรในยุคแห่งภัยพิบัติได้เดินทางไปทั่วทั้งป่าฝน, ทะเลทราย และตัวเมือง เพื่อรวบรวมเรื่องเล่ามากมายให้กลายเป็นเรื่องราว ตามตำนานเล่าว่านิทานต้นฉบับนั้นไร้จุดสิ้นสุด แต่ส่วนที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันกลับเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของมันเท่านั้น
เรื่องราวของคนจับนก

นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนจับนกวัยชรา
ตอนเหนือของอาณาจักรมีป่าทึบอยู่แห่งหนึ่ง ภายในป่ามีนกที่เลียนแบบเสียงพูดได้เติบโตและอาศัยอยู่ที่นั่น พวกมันมีขนที่งดงาม เมื่อแสงยามเช้าสาดส่องลงมายังผืนป่า พวกมันจะมารวมตัวกัน โบยบินดุจปุยเมฆท่ามกลางต้นไม้สูงตระหง่าน และส่งเสียงร้องไม่หยุด ในขณะที่ในป่ามีชายชราคนหนึ่ง รูปร่างผอมแห้ง ผิวดำคล้ำ สวมเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งราวกับคนป่า เอาแต่พยายามที่จะวางแผนจับนกพูดได้
เมื่อก่อนชายชราก็เคยเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา เฉกเช่นต้นไม้สูงใหญ่ที่เคยเป็นต้นอ่อนเล็ก ๆ มาก่อน เขาเติบโตขึ้นในหมู่บ้านชายป่า ด้วยความที่เขาเป็นคนคล่องแคล่วว่องไวและมีจิตใจดี จึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ตอนนั้นสาว ๆ ในหมู่บ้านต่างก็ชื่นชอบเขากันทั้งนั้น แต่เขารักมั่นเพียงคนรักของตนเองเท่านั้น คนรักของเขาคือหญิงสาวที่เป็นนักบวชอยู่ในป่า และเพราะเธอเป็นที่รักของผืนป่า จึงสามารถแสดงสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าหลงใหลต่าง ๆ ต่อหน้าเขาได้ ซึ่งชายหนุ่มก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับมันมาก
ชายหนุ่มคิดอยู่บ่อยครั้งว่า ถ้าสามารถใช้ชีวิตร่วมกันกับนักบวชหญิงเช่นนี้ไปจนถึงบั้นปลายของชีวิตได้ เขาก็ยินดี
แต่ช่วงเวลาดี ๆ นั้นคงอยู่ไม่นาน อาณาจักรเตรียมทำสงครามอันยาวนาน ชายหนุ่มทุกคนถูกเรียกตัวไปเกณฑ์ทหาร ต้องจากบ้านเกิดไปสู่สนามรบ ในคืนก่อนเดินทาง นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนรักร้องไห้ หยาดน้ำตาเป็นราวกับหยดน้ำค้างร่วงหล่นสู่ก้นบึ้งของหัวใจเขา เวลานั้นเขาไม่รู้เลยว่า เหตุใดหญิงสาวถึงร้องไห้เสียใจเช่นนี้ เขาแค่คิดว่าอีกฝ่ายคงเศร้าที่ใกล้จะต้องแยกจากกัน ดังนั้นจึงรีบให้สัญญากับเธอไว้ โดยหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความเศร้าเสียใจของหญิงสาวได้
หญิงสาวโศกเศร้าเสียใจ จึงไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ ต่อคำมั่นสัญญานั้น เธอนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วบอกว่า นับจากนี้เธอจะให้นกที่เลียนเสียงพูดได้เหล่านี้บินไปหาชายหนุ่ม เพื่อฝากถ้อยคำแห่งความคิดถึงของเธอไปถึงชายคนรักที่อยู่แสนไกล แม้ว่ามันจะแปลกไปบ้าง แต่ชายหนุ่มก็คิดว่า หญิงสาวคงใช้พลังนั้นเพราะอยากผูกใจเขาไว้
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ
วันต่อมา ชายหนุ่มออกเดินทางไปเป็นทหารของอาณาจักร เดิมทีเขาคิดว่าไม่นานคงได้กลับมา แต่สงครามยืดเยื้อยาวนาน จนคางของชายหนุ่มมีหนวดเคราขึ้น สายตาแปรเปลี่ยนเป็นว่องไวและเฉียบคม สองมือหยาบกร้านเพราะถืออาวุธ สงครามครั้งนี้จึงสิ้นสุดลง
แต่ท่ามกลางสงครามอันโหดร้าย สิ่งเดียวที่สามารถปลอบโยนจิตใจของเขาได้บ้างก็คือ นกเลียนเสียงพูดได้ที่บินมาจากบ้านเกิดของเขา ซึ่งราวกับสวรรค์ก็เป็นใจ นกพวกนั้นมักจะมาหาเขาในยามดึกสงัด เพื่อถ่ายทอดคำพูดของนักบวชหญิงให้เขาฟัง ชายหนุ่มจึงได้ฟังถ้อยคำแห่งความคิดถึงที่เธอพร่ำพูด ได้ฟังเธอเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในหมู่บ้าน และบทกลอนสั้น ๆ ที่เธอเขียนถึงเขา
การแยกจากกันอันแสนยาวนานไม่ได้ทำให้ความรักที่เขามีต่อหญิงสาวลดน้อยลงเลย แต่มันกลับยิ่งมั่นคงหนักแน่นดุจศิลาที่ตั้งอยู่กลางใจของเขา
หลังจากสงครามสิ้นสุดลง เขาจึงรีบกลับไปยังบ้านเกิด นึกอยากสู่ขอหญิงสาวมาเป็นภรรยา แต่กลับได้รู้ข่าวว่าเธอป่วย และเสียชีวิตหลังจากชายหนุ่มออกเดินทางไปได้ไม่นานเท่าไหร่
ชาวหนุ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพราะเมื่อคืนนี้ เขายังได้ยินหญิงสาวอ่านบทกลอนให้เขาฟังจากปากของนกที่เลียนเสียงพูดได้อยู่เลย
เขาบุกเข้าไปยังลานบ้าน เปิดประตูบ้านที่ปิดสนิทของหญิงสาว ทันใดนั้น นกพูดได้จำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกร่ายมนตร์ให้หลับใหล พลันถูกปลุกให้ตื่นขึ้น และตกใจแสงแดดที่ลอดผ่านประตูเข้ามา พวกนกที่ตื่นขึ้นมาจึงพากันสยายปีกโบยบินราวกับปุยเมฆเคลื่อนคล้อย บินผ่านข้างตัวข้างหูเขา ออกไปข้างนอกผ่านประตูที่เขาเปิดไว้ กลับสู่ผืนป่าที่พวกมันเคยอยู่ เมื่อเขาได้สติกลับมา สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาเป็นเพียงห้องว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรอยู่เลย
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมคืนนั้นหญิงสาวถึงได้เศร้าเสียใจขนาดนั้น ทั้งยังเตรียมการแปลก ๆ แบบนั้นเอาไว้
และท้ายที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า พวกนกพูดได้ที่ตกใจเพราะประตูเปิดออกจนบินหนีไปนั้นคือ สิ่งที่เธอเตรียมไว้เพื่อเขาก่อนตาย... เธอเตรียมคำพูดไว้มากมายเพื่อเขา
อายุขัยของนกยืนยาวกว่าที่มนุษย์คิดไว้มาก หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงไล่ตามนกเลียนเสียงพูดที่พากันบินเข้าป่า เพื่อต้องการไถ่โทษที่ทำให้ความตั้งใจของคนรักกระจัดกระจายไปทั่วป่า เขาไม่กินไม่นอนทั้งวันทั้งคืน จนดูมีสภาพราวกับคนเสียสติ จากชายหนุ่มกลายเป็นชายวัยกลางคน จากชายวัยกลางคนกลายเป็นชายชรา แม้ว่าจะไม่ได้ยินอะไรใหม่ ๆ อีก และแม้ว่านกเลียนเสียงพูดที่ยังคงจดจำคำพูดของหญิงสาวได้จะมีจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ แต่อาจจะมีสักประโยคที่ตนเองอาจจะยังไม่เคยได้ยินก็ได้ เพราะยึดมั่นในความคิดนี้ แม้ว่าคนจับนกจะไม่ใช่ชายหนุ่มอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมจากไปไหน
เขาดักจับนกพวกนั้นอย่างชำนาญ และนำมันใส่กรงไว้ เขาจะลูบคอมันอย่างอ่อนโยน หยอกล้อกับพวกมัน ให้พวกมันกินธัญพืชที่ดีที่สุด ดื่มน้ำที่ใสสะอาดที่สุด แล้วจึงบอกกับพวกมันว่า พูดสิ ๆ เจ้านกพูดได้ พูดสิ่งที่คนรักของฉัน หญิงสาวผู้เป็นที่รักของผืนป่าสอนแกพูดสิ พูดสิว่าเธอสอนแกพูดว่าอะไรบ้าง
บางครั้งเจ้านกพูดได้ที่กินอิ่มแล้วจะพูดเรื่องราวแบบนี้ออกมา...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

TopButton